แม้ว่า “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ซีอีโอ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป หรือ JKN จะยืนยันเสียงแข็งว่าไม่คิดขาย Miss Universe Organization (MUO) หรือ องค์กรนางงามจักรวาล ซึ่งทาง JKN เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ แต่ข่าวที่ออกมาว่า “Raul Rocha” นักธุรกิจชาวเม็กซิกัน ได้ซื้อกิจการ Miss Universe Organization และจะเข้าถือสิทธิ์ในการประกวดและสินค้าต่างๆ ภายในแบรนด์ MU ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงจดหมายที่ทาง JKN ได้แจ้งต่อ ตลท. ว่ากำลังเจรจาเพื่อหานักลงทุน และแหล่งเงินทุนเพื่อร่วมพัฒนาศักยภาพของ Miss Universe ว่างั้น…
ถึงแม้ว่าจะฟังแล้วดูดี...แต่นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า JKN กำลัง “ร้อนเงิน” และเชื่อได้ว่า Miss Universe Organization (MUO) คงจะไม่ได้อยู่กับ JKN ต่อไปอีกแล้ว...
สิ่งที่ต้องคิดตามอย่างแรก... อย่าได้ลืมไปว่าในตอนนี้ JKN มียอดหนี้หุ้นกู้จำนวน 7 ชุด รวมมูลค่าประมาณ 3,212 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าของ MU ซึ่งทาง JKN แจ้งมาว่าเคยซื้อไว้ในราคา 6-800 ล้านบาท ดังนั้น แม้จะขายได้กำไรเข้ามาบ้าง แต่ก็น่าจะยังน้อยกว่ามูลค่าหุ้นกู้อยู่กว่า 2 พันล้านบาท
อย่างที่สอง คือ การที่ศาลล้มละลายกลางกำหนดวันไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ในวันที่ 29 มกราคม 2567 ซึ่งถ้าหากศาลฯ ไม่อนุมัติให้เข้าแผนฟื้นฟูฯ ก็จะเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ทั้งหลายสามารถใช้สิทธิ์ในการเรียกคืนเงินจาก JKN ได้ทันที ซึ่งเจ๊เมาธ์ก็เชื่อได้ว่าเงินที่ได้จากการขาย MU น่าจะไม่พอที่จะทำให้ JKN หลุดออกมาจากวงเวียนของการเลื่อนชำระหุ้นกู้แต่อย่างใด
เรื่องที่สาม เป็นการขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาใช้หนี้หุ้นกู้ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นจากกรณีของ บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ ALL ซึ่งได้เลือกวิธีการใช้หนี้หุ้นกู้ด้วยการขายสินทรัพย์ของบริษัทมาใช้หนี้ จนท้ายที่สุด หนี้ก็จ่ายไม่หมด ขณะที่บริษัทเองก็ไม่มีรายใหม่ๆ เข้ามา เพราะแหล่งรายได้ถูกขายจนแทบไม่เหลือ
อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ JKN ก็ได้ผลักทีวีดิจิทัลช่อง 18 ออกไปอยู่กับ TOP News มาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน ดังนั้น การที่จะผลักดัน MU ออกไปในครั้งนี้ จะทำให้สินทรัพย์ของ JKN ที่เหลืออยู่มีแค่เพียงลิขสิทธิ์หนังอินเดีย ซึ่งเป็น “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้” ไม่รู้ว่าจะเป็นของจริงหรือไม่ มีมูลค่าเท่าไหร่ หรือจะมีเพียงตัวเลข แต่แทบจะคำนวณเป็นตัวเงินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เอาเป็นว่าเรื่องของ JKN น่าจะเป็นหนังชีวิตอีกเรื่องที่จะจบสวยหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนเส้นทางเดินที่ JKN กำลังก้าวเดินไปน่าจะโหดหิน ยากลำบาก และไม่สวย เหมือนภาพที่ “แอน จักรพงษ์” พยายามสื่อเอาไว้อย่างแน่นอน
บอกตรงๆ ว่าพอได้เห็นราคาจองซื้อหุ้นไอพีโอของธนาคารไทยเครดิต หรือ CREDIT ซึ่งกำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น 28.00-29.00 บาท/หุ้น โดยมีค่าพีอีแรกเข้าอยู่ที่ 19 เท่า ขณะเดียวกัน ด้วยค่าพีอีที่สูงขนาดนี้ ทำให้เจ๊เมาธ์อดนึกไปถึงผลการดำเนินงานของธนาคารไทย 9 แห่งในปี 2566 ซึ่งทั้งหมดมีกำไรรวมกันราว 2.26 แสนล้านบาท โดยที่มีค่าพีอีเฉลี่ยของแต่ละธนาคารอยู่ที่ไม่เกิน 10 เท่าไม่ได้ และด้วยภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังไม่ดีนัก รวมไปถึงราคาหุ้นไอพีโอของ CREDIT สร้างความกังวลให้นักลงทุนไม่น้อย
แต่ก็อย่างว่า หุ้นเขายังไม่เข้าตลาด... ราคาหุ้นยังไม่เคยถูกซื้อขายบนหน้ากระดาน ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงไม่กล้าที่จะบอกว่า ราคาหุ้นที่จะเข้าตลาดในวันแรกของ CREDIT จะปรับราคาขึ้นหรือลง ก็เอาเป็นแค่ว่าอยากให้นักลงทุนหาข้อมูลให้ดีก่อนที่จะลงทุนก็เท่านั้นเจ้าค่ะ
ก็อย่างที่รู้กันว่า JMART JMT SINGER SGC รวมไปถึง J เป็นหุ้นที่อยู่ในเครือเดียวกัน แต่การอยู่ในเครือเดียวกัน ก็ยังไม่สำคัญไปกว่าการที่หุ้นเหล่านี้ มีธุรกิจที่ผูกโยงเข้าด้วยกัน เพราะนั่นทำให้เมื่อหุ้นในกลุ่มตัวใดตัวหนึ่งปรับราคาขึ้น หรือ ลง ก็จะทำให้หุ้นตัวอื่นปรับขึ้นและลงตามไปด้วย
ล่าสุดการที่ราคาหุ้นของ JMT ซึ่งเป็นหุ้นตัวเก่งของกลุ่มปรับราคาลง เนื่องจากความกังวลคุณภาพลูกหนี้ และความสามารถชำระหนี้ กังวลว่า JMT จะตามหนี้ได้ตามเป้าหมายหรือไม่ก็กลายเป็นการ “เหมาเข่ง” ส่งต่อความกังวลนี้ไปถึง บมจ.เจมาร์ท (JMART) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ JMT ตามไปด้วย เพราะหากผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย JMART ก็จะรับผลกระทบด้วยที่ลากเอาหุ้นตัวอื่นในกลุ่ม ทั้ง SINGER SGC และ J ต่างปรับราคาตามลงมาเช่นกัน
เอาเป็นว่าจังหวะนี้ภาษิตท่านว่า “น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ” ดังนั้น เจ๊เมาธ์จึงมองว่าให้รอดูไปก่อน เอาไว้ผลการดำเนินงานงวดปี 2566 ออกมาแล้วค่อยว่ากัน...ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ