แน่นอนว่าการขาดทุนของ JKN และบริษัทย่อยเป็นสิ่งที่เจ๊เมาธ์คาดการณ์เอาไว้ว่าจะต้องเกิดขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้พูดถึงตัวเลขที่ชัดเจน แต่เรื่องแบบนี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือการคาดหมายของเจ๊ และใครก็ตามที่ติดตามข้องมูลของ JKN มาตลอด
ทั้งนี้ในปี 2566 พบว่า JKN มีรายได้รวม 2.495.42 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 174.15 ล้านบาท หรือ 6.52% ซึ่งแบ่งออกเป็นข้อๆ ขณะเดียวกันเจ๊เมาธ์ก็จะถอดรหัสที่ว่าทำไม JKN ถึงขาดทุนให้ฟังดังนี้
1. รายได้ค่าสิทธิ์จากธุรกิจให้บริการและจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการลดลง 13.82%
2. รายได้จากการให้บริการจากธุรกิจบริการโฆษณาเพิ่มขึ้น 47.62%
3. รายได้จากการขายจากธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดลง 41.06%
4. รายได้จากการบริหารจัดการลิขสิทธิ์ขององค์กรนางงามจักรวาลเพิ่มขึ้น 3,206.06% จากการเป็นปีแรกที่มีการประกวดนางงามจักรวาลภายใต้การดำเนินงานของบริษัท
5. รายได้อื่นลดลง 92.45% เนื่องจากในปี 2565 มีการรับรู้กำไรจากการซื้อกิจการในราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมจำนวน 441.10 ล้านบาท
หากจะวิเคราะห์ให้ลึกลงไป ปัญหาการขาดทุนของ JKN อย่างแรก คือ ปัญหาการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์สูงเกินกว่าความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าของเครื่องหมายการค้า ค่าความนิยม ค่าลิขสิทธิ์คอนเทนต์ และขายผลิตภัณฑ์
ยกตัวอย่างเช่น ตราสินค้าของ Miss Universe (MU) ซึ่งถูก JKN ตีมูลค่าเอาไว้สูงเกือบ 1,400 ล้านบาท ทั้งที่ในตอนซื้อ MU เข้ามาก็ใช้เงินเพียงไม่กี่ร้อยล้านบาท ขณะที่ค่าลิขสิทธิ์รายการต่างๆ ก็ถูกประเมินเอาไว้สูงถึง 6,278 ล้านบาท ทั้งที่ในตอนซื้อมาก็ลงทุนไม่สูงเท่าราคาประเมินเช่นกัน
การตั้งไว้สูงมากเช่นนี้จะมีข้อดีก็คือ ตอนที่เอาไปคุย หรือ เอาไปแคลมว่า JKN เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ และมีสินทรัพย์จำนวนมาก
ขณะเดียวกัน เมื่อมีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ขึ้นมา ก็จะทำให้เกิดปัญหาว่าตัวเลขของการขาดทุนที่มีก็จะมากกว่าที่ควรจะเป็นอย่างที่ JKN กำลังเผชิญอยู่นี่เอง
อย่างที่สอง บริษัทฯ แจ้งว่ามีรายได้จากการให้บริการจากธุรกิจบริการโฆษณาเพิ่มขึ้น 47.62% และรายได้จากการบริหารจัดการลิขสิทธิ์ขององค์กรนางงามจักรวาล Miss Universe (MU) ที่เพิ่มขึ้นถึง 3,206.06% จากการเป็นปีแรก ที่มีการประกวดนางงามจักรวาลภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ซึ่งก็น่าสังเกตว่า ตัวเลขเหล่านี้ตั้งอยู่บนฐานข้อมูลใด
โดยเฉพาะตัวเลขรายได้ที่มาจาก MU ซึ่งมีสูงถึง 3,206.06% เป็นการเริ่มต้นมาจากการที่ไม่มีอะไรเลย จึงทำให้ได้ตัวเลขสวย หรือเป็นเพียงแค่การเคลมตัวเลขส่วนต่าง
เนื่องจากด้วยสัดส่วนที่สูงขนาดนี้ ถ้าหากเริ่มต้นจากเงินแค่เพียง 1 ล้านบาท ก็น่าเชื่อว่าส่วนต่างที่สูงถึง 3,206.06% ก็น่าเพียงพอที่ทำให้ JKN มีกำไรได้สบายๆ ดังนั้น ตัวเลขสูงๆ เหล่านี้จึงไม่ได้ส่งผลให้ JKN มีกำไรมากขึ้นแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องที่สาม ควรมีสาเหตุเกิดจากธุรกิจหลักของ JKN และบริษัทลูกหลายราย ยังคงอ้างอิง และมีแหล่งที่มาของรายได้มาจากธุรกิจสื่อโทรทัศน์แบบดั้งเดิมเป็นหลัก
ขณะที่กลุ่มธุรกิจสื่อออนไลน์ก็เกิดขึ้นมาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้น จนทำให้ทั้ง JKN บริษัทลูกของ JKN และพันธมิตรรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ไปจนถึงประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนส่งผลให้ต้องค้างชำระหนี้คืนให้แก่ JKN อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างที่เห็น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตามองว่าอาจจะสร้างปัญหาให้กับ JKN ในเรื่องของโอกาสในการเข้าไปสู่แผนฟื้นฟูกิจการ ก็เป็นเรื่องที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน
จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) และเครื่องหมาย CS (Caution - Financial Statements ต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance) ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ราคาหุ้นของ JKN ตกต่ำลงไปอย่างที่นึกไม่ถึงได้อีกครั้ง
เจ๊เมาธ์ก็เตือนกันแล้ว...ถ้าเจ็บก็อย่ามาร้องทีหลังก็แล้วกันเจ้าค่ะ อิอิอิ...