*** น่าแปลกใจที่หลังการจับมือแถลงข่าวร่วมกันระหว่าง บมจ. เน็กซ์ พอยท์ หรือ NEX โดย “คณิสสร์ ศรีวชิระประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “สมโภชน์ อาหุนัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ซึ่งอยู่ในฐานะบริษัทแม่ของ NEX แม้จะบอกว่ามีแต่สิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น แต่กลับไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนจนทำให้ราคาหุ้นของทั้ง NEX และ EA ปรับร่วงลงไปอีกครั้ง ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น...
อย่างแรก ต้องรู้ก่อนว่าปัจจุบันนี้ EA เป็นผู้ถือหุ้นของ NEX ผ่านทาง บริษัท อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง จำกัด (EA ถือหุ้น 100%) ซึ่งเป็นบริษัทลูกอยู่ในสัดส่วน 33.14% คิดเป็นหุ้นทั้งหมด 670 ล้านหุ้น ซึ่งด้วยสัดส่วนการถือหุ้นที่มากขนาดนี้ ก็ทำให้ทั้ง EA และ NEX มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง แม้จะผูกกันผ่านทางบริษัทลูกของ EA ก็ตาม และนั่นก็หมายความว่า หาก NEX ประสบปัญหาใดก็ตาม ในฝั่งของ EA ก็จะต้องรับรู้และบันทึกเอาปัญหานั้น ไว้ในฐานะบริษัทแม่นั่นเอง
อย่างที่สอง เป็นเรื่องที่รับรู้กันว่าหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NEX ประสบปัญหาเรื่องของการถูกบังคับขาย (Force Sell) เนื่องจากนำหุ้นไปค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้น จนเป็นเหตุให้นักลงทุนรายย่อยเกิดภาวะแตกตื่น (Panic) จนเทขายหุ้นตามออกมา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าก่อนหน้านี้ราคาหุ้นของ NEX จะเกิดการดีดกลับขึ้นมา เพียงแต่การกลับคืนมาที่ว่า ก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องของการ “รีบาวด์ทางเทคนิค” เป็นหลัก เนื่องจากมีข่าวว่าหุ้นที่ถูกบังคับขาย (Force Sell) ที่ว่าอาจจะยังมีบางส่วนที่ยังเหลือ (ขายไม่หมด) จนทำให้ราคาหุ้นของ NEX ปรับราคาลงไปอีกรอบอย่างที่เห็น
ท้ายที่สุดเป็นเรื่องของแรงกดดัน ที่มาจากข่าวลือที่มาจากทางฝั่งของ EA ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในเรื่องของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ค่า Adder (อัตราค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มโดยบวกเพิ่มจากอัตราค่าไฟฟ้าปกติ) บางส่วนหมดอายุลง ทำให้รายได้ของ EA ปรับลงมา ประกอบข่าวลือหุ้นกู้ที่เป็นอาวุธยอดฮิต
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ยังมองว่า เรื่องราคาหุ้นของทั้ง NEX และ EA เป็นเรื่องของจังหวะและโอกาส เพราะไม่ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลงไปมากแค่ไหน แต่พื้นฐานทางธุรกิจที่มีก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และล่าสุดยังไปสยายปีกในลาว ในหลายโครงการ รวมทั้งโครงการพลังงานสีเขียว ผลิตรถอีวี แบตเตอรี่อีวี ที่มีช่องให้ไปอยู่พอสมควร
ดังนั้น ใครจับจังหวะทันในราคาที่ต่ำกว่าก็ได้ประโยชน์มากกว่า เรื่องมันก็มีอยู่เท่านั้นเองค่ะ
*** การที่ราคาเหรียญบิตคอยน์ (Bitcoin) กลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 71,000 ดอลลาร์ ในรอบเกือบ 2 เดือน เป็นเหตุให้กลุ่มหุ้นที่อ้างอิงอยู่กับตลาดคริปโทฯ ปรับตัวแรงตามขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะหุ้นตัวแรงอย่าง JTS TTA, BROOK และ XPG โดยในส่วนของ JTS ซึ่งล่าสุดให้ข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนเหรียญบิทคอยน์คงเหลือ 258.82051732 เหรียญ
ขณะที่ BROOK สิ้นไตรมาส 1/67 มี Bitcoin จำนวน 164.7 เหรียญ รวมทั้ง Biance จำนวน 42,986.9 เหรียญ ตามด้วย Ethereum จำนวน 1,473.4 เหรียญ และ Solana จำนวน 13,527.5 เหรียญ ซึ่งนั่นก็สาเหตุที่ทั้ง JTS และ BROOK มีการขยับตัวอย่างน่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าราคาหุ้นเหล่านี้จะปรับตัวแรง หรือ ดีแค่ไหนแต่การที่ยังคงอ้างอิงอยู่กับอิทธิพลราคาของบิตคอยน์ ซึ่งเหวี่ยงตัวแรงมาก ก็ทำให้ราคาหุ้นเหล่านี้ปรับตัวไป โดยที่ไม่ผูกพันอยู่กับพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัท อย่างที่ควรจะเป็น จนราคาอาจจะขยับตัวได้มากกว่าความเป็นจริง
ดังนั้น ถ้าใครสนใจหุ้นเหล่านี้ ต้องยอมรับในเรื่องนี้ให้ได้ เพราะถ้ายอมรับไม่ได้ก็อาจจะหัวใจวาย อาจจะติดดอย หรือ ขายหมูก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ก็อย่างว่า...หุ้นที่ราคาไม่อิงอยู่กับพื้นฐานมันก็มักจะเป็นแบบนี้เองค่ะ
*** ราคาหุ้นของ ITD ปรับขึ้นแรง รวมถึงทำให้เป็นบวกต่อราคาหุ้นของทั้ง ITD และกลุ่มธนาคารเจ้าหนี้อย่าง BBL KBANK SCB KTB ภายหลังมีข่าวว่า บริษัท China State Development and Investment Co. Ltd (SDIC) สนใจเข้าเจรจาเพื่อถือหุ้นสูงถึง 49% ในเหมืองโปแตซในประเทศไทยที่มี ITD เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในมูลค่าราว 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.44 หมื่นล้านบาท) เนื่องจากการมีเงินเข้ามา จะทำให้ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ITD ลดลง
อย่างไรก็ตาม หากจะมองในมุมของเจ๊เมาธ์ เจ๊กลับมองว่าหากเป็นจริง การเข้ามาของพันธมิตรใหม่นี้ จะเป็นผลดีต่อธนาคารเจ้าหนี้เป็นหลัก แต่ในส่วนของ ITD เจ๊เมาธ์กลับคิดว่าจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาเป็นหลัก และไม่ได้มีส่วนทำให้รายได้ของ ITD เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาจจะมีดีบ้างก็กับเรื่องภาระจ่ายที่มาจากดอกเบี้ยที่จะลดลงไปเท่านั้นเอง
ดังนั้น อย่าไปคาดหวังสูงเกินไป รอดูไปก่อน...เอาไว้รอให้เป็นจริงแล้วค่อยว่ากันอีกทีค่ะ