*** นานแล้วที่เจ๊เมาธ์ไม่ได้พูดถึงหุ้นกลุ่มลีสซิ่งตัวใหญ่อย่าง MTC SAWAD และ TIDLOR แต่ถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ากระแสดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา จะเป็นแรงกดดันที่รุนแรงจนทำให้ราคาหุ้นของลีสซิ่งใหญ่ทั้ง 3 ไปไหนได้ไม่ไกล ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วผลการดำเนินงานของหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมากและดีมากจนดูเหมือนจะสวนทางกับความเชื่อแบบเดิมๆ ที่มองว่าดอกเบี้ยที่เพิ่มมากขึ้นจะทำให้บริษัทเหล่านี้มีปัญหา
เริ่มจาก TIDLOR ซึ่งในไตรมาส 1/67 มีกำไรถึง 1,104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% โดยในไตรมาสนี้ ถือว่าเป็นกำไรนิวไฮอีกครั้งของ TIDLOR เลยทีเดียว ขณะที่ในฝั่งของ MTC ก็พบว่าในไตรมาส 1/67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.8% รวมทั้งพอร์ตสินเชื่อแตะที่ระดับ 147,587 ล้านบาท
แม้ว่าในไตรมาสนี้ทาง MTC จะไม่ได้กำไรแบบนิวไฮ แต่การที่มีทุกอย่างที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสาขา รายได้ กำไร หรือ แม้แต่พอร์ตสินเชื่อที่โตขึ้นเกือบๆ 1.5 แสนล้านบาท ก็ถือว่า MTC นี้มีพัฒนาการมาได้ไกลมากแล้ว
ส่วนในฝั่งของ SAWAD ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีการแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/67 แต่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักก็คาดการณ์ว่า กำไรน่าจะออกมาในราว 1.3 พันล้านบาท และคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ปรับลง
ดังนั้น ในมุมมองของเจ๊เมาธ์แล้ว เจ๊จึงมองว่าแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้นที่เริ่มคลายตัวลง รวมไปถึงภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ประชาชนทั่วไปยังต้องการเข้าถึงแหล่งเงินกู้อย่างที่เป็นอยู่นี้ ยังจะเป็นการส่งเสริมให้ลีสซิ่งใหญ่ทั้ง MTC SAWAD และ TIDLOR ยังมีโอกาสที่จะเติบโตต่อไปได้อีกมาก แล้วก็แน่นอนว่าถ้ามีรายได้และกำไรที่เพิ่มมากขึ้น ...ในอนาคตราคาหุ้น และปันผลที่มี ก็มีโอกาสที่จะมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกันค่ะ
*** ดูเหมือนว่าในไตรมาส 1/67 คาถาผลงานดีที่พยายาม “เป่า” อยู่ตลอดเวลาของ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” จะยังไม่เห็นผล เพราะล่าสุดราคาหุ้น ตระกูล เจ. ไม่ว่าจะเป็น JMART JMT SINGER SGC รวมไปถึง J ยังคงดำดิ่งลงไปหาจุดต่ำที่สุดในรอบปี ประมาณว่า “ต่ำแล้วยังมีต่ำกว่า”
ขณะเดียวกันดูเหมือนว่า งวดนี้หวยล็อคจะพุ่งตรงไปหา JMT เพราะเป็นหุ้น “เดอะแบก” ที่รับภาระแบกเอาหุ้นทุกตัวในกลุ่มไม่ให้ออกอาการหนักมากเกินไปมาตลอดกว่า 1 ปีที่ผ่านมา
อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ “ทริสเรทติ้ง” ก็ได้ปรับเปลี่ยนอันดับเครดิตของ บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) ให้ลงเป็นระดับ “ลบ” ดังนั้น คราวนี้ถ้าผลการดำเนินงานของ หุ้นตระกูล เจ. ดูแล้วน่าจะมีปัญหา เอาไว้ถึงตอนที่หุ้นกลุ่มนี้แจ้งผลการดำเนินงานแล้ว เจ๊เมาธ์จะมาสรุปให้ฟังอีกทีนะคะ เอาไว้ถ้ามีสัญญาณดีๆ แล้วค่อยมาว่ากันนะคะ ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ อิอิอิ
*** หุ้นอีกกลุ่มที่เจ๊เมาธ์มองว่า น่าสนใจให้พูดถึง ก็คือ หุ้นในกลุ่มรับเหมาใหญ่อย่าง CK STEC และ ITD เนื่องจากที่ผ่านมา นอกจากงบประมาณปี 67 ที่ออกมาช้า จนทำให้บริษัทรับเหมาใหญ่เหล่านี้ ต่างก็ได้รับผลกระทบ ก็ยังมีประเด็นของ ITD ที่กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นเหล่านี้ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง
เริ่มจากทางฝั่งของ ITD สำหรับรายนี้ เจ๊เมาธ์คงไม่จำเป็นที่จะต้องจารนัยให้มากความ เพราะถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้แจ้งผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/67 แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานอกจากปัญหาของความสามารถในการชำระหนี้หุ้นกู้ จนต้องเลื่อนระยะเวลาในการชำออกไปถึง 2 ปี
รวมไปถึงปัญหาของการขาดสภาพคล้อง จนทำให้บริษัทมีปัญหาในเรื่องของการจ่ายค่าจ้างแรงงาน ก็ทำให้คาดการณ์ได้ไม่ยากว่า ผลงานในไตรมาสที่ 1/67 ของบริษัทแห่งนี้จะมีผลงานออกมาในรูปแบบใด
ส่วนทางฝั่งของ STEC รายนี้นอกจากปัญหาที่เกิดจากงบปี 67 มาช้ากว่าปกติ ก็ดูเหมือนว่าจะมีส่วนแบ่งการขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพู ซึ่งจนถึงตอนนี้จำนวนผู้โดยสาร ก็ยังไม่เป็นไปตามเป้า...รับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมไปถึงการรับรู้รายได้ก่อสร้างโครงการมอเตอร์เวย์ ที่อยู่ช่วงท้ายโครงการลดลง ดังนั้น ในไตรมาสนี้ STEC จึงยังมีโอกาสขาดทุนเช่นกัน
ด้านของ CK แม้ว่ารายนี้ ณ สิ้นปี 66 จะมี Backlog ที่สูงมากถึง 1.3 แสนล้านบาท แต่เนื่องจากจะต้องรับรู้ขาดทุนจาก CKP (CK ถือหุ้น 30%) และรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง (CK ถือหุ้น 20%) ก็ทำให้คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าผลการดำเนินงาน 1/67 น่าจะออกมาไม่ดีอย่างที่ควร ..จะดีกว่าก็อาจจะขาดทุนน้อยกว่าทั้ง ITD และ STEC ก็เท่านั้นเอง
ดังนั้น หากจะว่ากันโดยสรุปแล้ว หุ้นในกลุ่มรับเหมารายใหญ่ทั้ง ITD STEC และ CK ในช่วงแรกของปี ต่างก็เหมือนจะยังไม่น่าสนใจ รอเอาไว้มีอะไรใหม่ๆ เจ๊เมาธ์จะเอามาเล่าให้ฟังนะคะ ตอนนี้แค่ดูไปก่อนก็พอแล้วค่ะ