*** หลังจากที่ "นางสาวแพทองธาร ชินวัตร" ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยก็ปรับขึ้นต่อเนื่องกว่า 40 จุดในเวลาเพียงไม่กี่วัน เป็นเหตุให้นักลงทุนถึงกับเล็งผลเลิศว่าในช่วงปลายปี 2567 ที่กำลังจะมาถึง มีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะปรับขึ้นไปแตะ 1500 จุดอีกครั้ง ซึ่งหากจะวิเคราะห์เจ๊เมาธ์ก็มองว่าน่าจะมาจากสองสาเหตุหลัก
อย่างแรก ที่ถือว่าเป็นเรื่องของส่วนรวม เจ๊เมาธ์มองว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากความคาดหวังว่า รัฐบาลของ “แพทองธาร” จะผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ในยุคของ “เศรษฐา ทวีสิน” ทำไม่สำเร็จจนภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง ในขณะที่ GDP ของประเทศรอบข้างกลับฟื้นตัวกันแล้ว
อย่างที่สอง เป็นปัญหาส่วนตัวของตระกูล “ชินวัตร" และ “พรรคเพื่อไทย” ที่จะต้องฟื้นความเชื่อมั่นภายหลังฐานเสียงเดิมเริ่มหมดความมั่นใจในศักยภาพและอาจถึงกับเริ่มถอยห่าง เนื่องจากหากทำได้ดีก็มีโอกาสที่จะได้ไปต่อในการเลือกตั้งสมัยหน้า
แต่หากยังทำไม่ได้...ไม่แน่ว่ารอบต่อไปพรรคเพื่อไทย อาจจะต้องกลับกลายมาเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่ตระกูลชินวัตรอาจจำเป็นจะต้องเริ่มหาทางถอยห่างออกจากการเมืองไทยก็เป็นได้...
ว่าแต่การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลของ “นายกฯอุ๊งอิ๊ง” มีหุ้นกลุ่มใดบ้างที่มีแววว่าจะได้ไปต่อบ้าง ???
กลุ่มแรก เป็นหุ้นที่กูรูและนักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสจะได้ไปต่อ คือ หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติ น่าจะเปลี่ยนจากการลงทุนในกลุ่มปลอดภัย (defensive) และกลุ่มที่มีธุรกิจในต่างประเทศ (external exposure) มาลงทุนในกลุ่มที่เน้นธุรกิจในประเทศ (domestic play) และกลุ่มที่ underperform ตลาดอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังมีพื้นฐานดีประกอบด้วย AMATA BBL BCH CBG CPALL CRC KLINIQ และ PTTEP
กลุ่มที่สอง คือ หุ้นที่จะได้อานิสงส์จากโครงการ DIGITAL WALLET ซึ่งแม้ว่ารู้แบบอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเงินสด หรือ เป็นอย่างอื่นที่คล้ายกัน แต่คาดว่ายังจะเกิดและหนุนเศรษฐกิจไทยโตต่อในระยะถัดไปได้ ส่วนหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว คือ หุ้นกลุ่มเช่าซื้อ เกษตร-อาหาร และค้าปลีก อาทิ MTC BAM TIDLOR TU TFG GFPT CPALL CPAXT BJC เป็นต้น
กลุ่มที่สาม เป็นหุ้นในกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์ 1 ในมูลค่าราว 1.0-1.5 แสนล้านบาท ที่กำลังจะเกิดขึ้นกันยายนนี้ โดยจะเน้นไปที่หุ้นที่ขนาดใหญ่ที่ให้ปันผลดี และได้ SET ESG Ratings สูง มีโอกาสถูกเก็งกำไรล่วงหน้า เช่น ADVANC CPALL KTB PTT SCB SCC เป็นต้น
กลุ่มที่สี่ คือ หุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปกติ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน เช่น GULF GPSC BGRIM BPP EGCO
กลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร เช่น ADVANC TRUE INTUCH COM7 ADVICE THCOM กลุ่มการท่องเที่ยวและการบริการ เช่น AOT ERW MINT AWC CENTEL และ SHR รวมไปถึงกลุ่มสุขภาพและการแพทย์ เช่น BDMS BH BCH PR9 VIBHA PRICE เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มหุ้นทั้งหมดที่เจ๊เมาธ์ว่ามายังจำเป็นที่จะต้องอาศัยองค์ประกอบอีกหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นคณะรัฐมนตรี ที่จะเข้ามารับผิดชอบโดยตรงในการผลักดันเศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วน
รวมไปถึงเสถียรภาพทางการมืองที่ต้องการความต่อเนื่องในการขับเคลื่อน รวมไปถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ตอนนี้ยังคงรุนแรง
ก็เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์รอดูและให้กำลังใจส่วนจะทำได้ดีหรือไม่...แค่ไหน ในเวลาต่อจากนี้อีกไม่นาน เราก็คงจะได้รู้กันแล้วค่ะ