*** ดูเหมือนการที่ Z.com ตัดสินใจยุติการให้บริการในส่วนของบัญชีมาร์จิ้นทั้งหมด ในวันที่ 20 ธันวาคม 2567 อาจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ทั้งนี้เพราะในทางปฏิบัติ “การยุติการให้บริการบัญชีมาร์จิ้น” ก็คือการ “หยุดปล่อยเงินกู้” สำหรับลูกค้ารายใหม่
รวมไปถึงบอกเลิกสัญญาเงินกู้ พร้อมไปกับการ “เรียกคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย” กลับคืนมาจากลูกค้ารายเดิม และคงไม่มีปัญหามากเกินไปถ้าหาก “หลักทรัพย์” ที่ลูกค้าของ Z.com ส่วนใหญ่ใช้ในการวางค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้นสามารถเปลี่ยนเป็น “เงินสด” ได้ง่าย โดยที่ไม่มีผลต่อราคาของหลักทรัพย์ที่ว่า แต่เมื่อหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ หรือ แทบทั้งหมดกลายเป็น “หุ้น” ดังนั้น ปัญหาที่มีจึงอาจซับซ้อนมากกว่าที่คิด!!!
อย่าได้ลืมไปว่า ลูกค้าของ Z.com ส่วนใหญ่ มักจะเอา “หุ้น” ของบริษัทที่ตนเองเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มาใช้เป็น “หลักทรัพย์” ค้ำประกันเงินกู้ ดังนั้น เมื่อถูกเรียกคืนเงินต้น วิธีการที่จะได้เงินมาเร็ว และง่ายที่สุดก็คือการ “เทขาย” หุ้นในส่วนที่เหลืออยู่ในมือออกมา
โดยปัจจุบันนี้ ทาง Z.com ได้ปล่อยวงเงินเพื่อกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 5,215 ล้านบาท (งบ 6 เดือนของปี 67) โดยอาจมีหุ้นจำนวนมาก ถูกเทขายออกมาพร้อมกัน จนอาจสร้างผลกระทบในภาพรวมก็เป็นได้
เรื่องแบบนี้ถ้าไม่รุนแรงเกินไปก็ไม่มีปัญหา ...แต่ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ควรจะประมาทนะคะ ตลาดหุ้นไทยในจังหวะนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้เจ้าค่ะ
*** ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดในการทำธุรกิจ หรือ จะเป็นเพราะต้องการมองหาธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมก็ตามที แต่การที่ CPAXT ส่งบริษัทย่อยเข้าไปลงทุนในโครงการ The Happitat ในสัดส่วนร้อยละ 95 คิดเป็นมูลค่า 7,970 ล้านบาท ทำให้ถูกสังคมตั้งคำถามในเรื่องความเหมาะสมในการลงทุน และไม่ใช่เพียงแค่นักลงทุน และนักวิเคราะห์ที่ตั้งคำถามนี้ เพราะแม้แต่ ก.ล.ต. ก็ยังสั่งให้บริษัทต้องชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการร่วมลงทุนในโครงการที่ว่าเช่นกัน
กลายเป็นปรากฏการณ์ที่กระหึ่มแวดวงตลาดทุนใน 3-4 วันที่ผ่านมา .. หุ้น CPAXT ราคาร่วงไป 18 % หุ้น CPALL ลดลง 5% กว่าๆ หุ้น CP วูบไป 5% โดยเฉลี่ย...
แน่นอนถึงแม้ CPAXT จะพยายามบอกว่า การลงทุนที่ผ่านการวิเคราะห์มีความคุ้มค่า รวมไปถึงยังจะเป็นน่านน้ำใหม่ ที่จะสร้างรายได้เข้ามาเสริมให้กับบริษัทฯ แต่คำถามก็เกิดขึ้นมากมาย!!!
อย่างแรก เป็นเรื่องของตัวโครงการ The Happitat แม้จะเป็นโครงการแบบ mixed-use ซึ่งจะมีทั้ง อาคารศูนย์การค้า และ อาคารสำนักงาน รวมไปถึงมีอาคารสาธารณูปโภคส่วนกลาง แต่คำถาม คือเรื่องของความชำนาญในธุรกิจนี้ของ CPAXT
อย่างที่สอง เป็นเรื่องของเงินลงทุนที่ทาง CPAXT จะต้องกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งคาดผลกระทบเชิงลบต่อประมาณการปี 2568-69 เนื่องจากแหล่งเงินทุนหลักมาจากการกู้ยืม และคาดว่า CPAXT จะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นปีละ 300-400 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่ารายจ่ายเพียงแค่นี้อาจจะดูไม่มากนัก แต่ต้องลองเทียบผลกำไรของบริษัทดู
อย่างที่สาม เป็นประเด็นที่มีการขายหุ้นออกมาก่อน แม้จะเป็นการขายออกมาก่อนแจ้งทำรายการเข้าลงทุนใน The Happitat เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 67 เป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ แต่ก็เป็นคำถามกระหึ่มแวดวงตลาดทุน
แน่นอน...เจ๊เมาธ์เข้าใจว่า เรื่องการลงทุนใดของบริษัทฯ จะเป็นไปตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการ รวมไปจนถึงที่ประชุมผู้ถือหุ้น
เพียงแต่ในบางกรณีสุ่มเสี่ยงต่อการถูกตั้งคำถาม พร้อมกับการพลิกปูมย้อนไปดูความหลังครั้งเก่าๆ คำถามจึงกระหึ่มไปที่ราคาหุ้น CPAXT และ CPALL ดังกึกก้องในแวดวงตลาดทุน
*** อ้างอิงถึงกรณีที่เจ๊เมาธ์เคยเขียนถึง BKGI ว่า เป็นหนึ่งในหุ้นไอพีโอของปี 2567 ที่ราคาหุ้นหน้ากระดานหลุดลงต่ำกว่าราคาจอง ถือว่าผิดไปจากความเป็นจริง เนื่องจากราคาของหุ้นตัวนี้ ยังคงยืนสูงกว่าราคาไอพีโอ ในขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทก็ยังคงมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี...ทราบแล้วเปลี่ยนเจ้าค่ะ