เผื่อว่าผมพอจะสนับสนุนอะไรได้บ้างจากประสบการณ์และพลังที่พอมีนิด ๆ ของผม แต่การเดินทางมาจังหวัดน่านกับกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ครั้งนี้น้อง ๆ แนะนำว่าต้องมาที่นี่ เผื่อว่าผมจะช่วยถอดความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนทอผ้าบ้านเฮี้ย ของแพว ผ้าฝ้าย แห่งนี้ให้กับวิสาหกิจชุมชนอื่น ๆ ได้เรียนรู้บ้าง และการถอดบทเรียนชุมชนแห่งนี้ที่ผมรับรู้ คือ ไม่ใช่แค่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ
แต่เป็นการ “สร้างกลุ่ม” ที่ร้อย “ใจ” ผู้คนเข้าด้วยกัน ด้วยความหวัง ความฝัน อนาคตของผู้คนในชุมชน ผ่านการทำงานในเชิงธุรกิจของการแบ่งปันที่แฟร์ โปร่งใส และชัดเจน แต่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ที่มีพลวัตรตามสภาพธุรกิจและลูกค้า รวมทั้งการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ แต่กว่าจะถึงวันนี้พวกเขาผ่านการล้มลุกคลุกคลานนับครั้งไม่ถ้วนบนหยาดเหงื่อ น้ำตา ของ “แพวและพวก”
เรามาลองดูว่าพวกเขาฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
จุดเด่นของ “แพว ผ้าฝ้าย” อยู่ที่การนำเอาเอกลักษณ์ของผ้าทอไทลื้อมาต่อยอดเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้วยการดีไซน์ การออกแบบที่ร่วมสมัย ภายใต้วิสัยทัศน์ที่เฉียบคมของ “แพว เนตรทิพย์” ที่ทิ้งชีวิตสาวโรงงานในเมืองใหญ่ กลับมาบ้านเกิด จับมือกับผู้ร่วมฝันในชุมชนไทลื้อของอำเภอปัว เพื่อสร้าง “แพว ผ้าฝ้าย”
สิ่งที่ผมเรียนรู้เรื่องราวของ “แพว ผ้าฝ้าย” ผ่านคำเล่าของ “น้องอัน” หรือ ดร. อาทิมา ลือยศ ลูกสาวของพี่แพว ผู้แบกปริญญาเอกด้าน Food Science แต่ทุ่มพลังให้กับมรดกวัฒนธรรมของชุมชนไทลื้อของพี่แพว โดยเข้ามาเพื่อสานต่อลมหายใจของวิสาหกิจชุมชนทอผ้าแม่เฮี้ยให้ดำรงคงอยู่กับชุมชน และนำอัตลักษณ์ไทลื้อแห่งนี้ออกมาให้ผู้คนทั่วไปได้ชื่นชมและดำรงอยู่ในรูปแบบตามกาลสมัยต่อไป
ด้วยพื้นฐานความชำนาญและอัตลักษณ์ของบรรพบุรุษ นำวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้มายืน ณ จุดนี้ ในวันนี้ แต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจ จนอยากแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขาให้กับวิสาหกิจชุมชนอื่น ๆ คือ
การจัดการบริหารองค์กรที่ดี ทั้งที่เป็นส่วนการบริหารสมาชิกที่โปร่งใส ยุติธรรม การผลิตที่มีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองจริตของผู้คนร่วมสมัย รวมทั้งการตลาดที่หลากหลาย มีพลวัตรตามลักษณะของตลาดและลูกค้าที่ไม่หยุดนิ่ง ซึ่งทุกอย่างนี้ผมมองว่าหาได้ไม่ง่ายในวิสาหกิจชุมชนที่จะมีครบและดีพร้อม ๆ กันในที่เดียว ผมลองถอดความคิดเห็นผมเป็นข้อ ๆ ตามนี้นะครับ
ที่วันนี้ “แพว ผ้าทอ” สามารถทำเป็นแบบ Made to order ได้ สร้างมูลค่าสูงกว่าผลิตภัณฑ์ผ้าทอของวิสาหกิจอื่น ๆ ที่ผมเคยเห็นซึ่งมักเริ่มจากการดูว่าผลิตภัณฑ์ชุมชน หรืออัตลักษณ์ของตนเองเด่นอะไร แล้วจินตนาการดูว่าอะไรน่าจะนำเสนอแบบเพื่อแสดงความเป็นตนเองให้ออกมามากที่สุดตามรูปแบบที่ตนเองคิดว่าใช่ พยายามสร้างเรื่องราวมากมาย แถมยังคิดว่าลูกค้าต้องชอบ แต่สำหรับผม วิธีนี้โอกาสประสบความสำเร็จน้อย และที่สำคัญก็คือประสิทธิภาพที่เกิดจากการออกแบบ สร้าง Pattern ก่อน แล้วส่งไปทอลาย ทำให้เศษผ้าแทบไม่เหลือ ส่งผลต่อการลดต้นทุนการผลิตได้มาก
ความประทับใจที่ผมได้รับจากการมาเยือนครั้งนี้ จากการพูดคุยกับพี่แพวและผู้คนในชุมชน ทำให้ผมทราบถึงความสำคัญของ “แพว ผ้าฝ้าย” ที่สร้างแบรนด์จนเป็นที่รู้จักในวงกว้างและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหัวจักรเศรษฐกิจชุมชน โดยเชื่อมกับวิสาหกิจชุมชนจนเป็นเนื้อเดียวกัน ผ่านการทำงานอย่างมีระบบทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ
และวันนี้ “แพว ผ้าฝ้าย” ยังเดินต่อและปรับเปลี่ยนตามกระแสสายธารของการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน แม้งานจะหนักหนาและท้าทาย แต่เมื่อผมดูจากรอยยิ้ม คำพูด และสายตาที่มุ่งมั่นของพี่แพว น้องอัน ผู้ที่จะรับช่วงต่อ รวมทั้งแม่สมพร ผู้บุกเบิกรุ่นที่สามของวิสาหกิจชุมชนทอผ้าบ้านเฮี้ย และบรรดาเพื่อนพ้องแล้ว
ผมรู้ซึ้งแก่ใจครับว่า ผ้าทุกผืน ฝ้ายทุกเส้น เหงื่อทุกหยด และแรงใจทุกวินาที คือ ความภาคภูมิใจของพวกเขาที่ได้ทำหน้าที่เป็นลมหายใจของเศรษฐกิจและความยั่งยืนของวัฒนธรรมไทลื้อแห่งนี้