การดึงดูดลงทุนจากต่างประเทศของไทยในมุมมองของจีน

20 ส.ค. 2565 | 07:09 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ส.ค. 2565 | 14:09 น.

การดึงดูดลงทุนจากต่างประเทศของไทยในมุมมองของจีน : คอลัมน์บทความ โดย พลโท ดร.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,811 หน้า 5 วันที่ 21 - 24 สิงหาคม 2565

พลโท ดร.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ ได้ประมวลและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับข้อพิจารณาสำหรับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของไทยในมุมมองของจีน ซึ่งจากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ของไทยระบุว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ไทยอนุมัติวิสาหกิจต่างชาติเข้าลงทุนรวม 284 ราย มูลค่าการลงทุนรวม 69.969 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.48% เมื่อเทียบเป็นรายปี 

 

โดย 42% ของการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติใหม่ได้ไหลเข้าสู่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของประเทศไทย แสดงให้เห็นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศที่แข็งแกร่ง และ “EEC” ก็กำลังกลายเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับบริษัทจีนจำนวนมากที่ลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากการบูรณาการเชิงลึกของประเทศ ไทยในการสร้างสรรค์ “EEC” กับการเชื่อมต่อข้อริเริ่ม “สายแถบและเส้นทาง” (Belt and Road Initiative : BRI) ของจีน

 

หากกล่าวถึงความสำเร็จของความเชื่อมโยงระหว่าง​ ​“EEC​” กับโครงการ “BRI” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้องกล่าวถึงนิคมอุตสาหกรรมระยองไทย-จีน ที่จังหวัดระยอง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่แกนกลางของ “EEC” ของประเทศไทย ในด้านการขนส่งที่สำคัญของความร่วมมือตามข้อริเริ่ม “BRI” ร่วมกันกับนิคมอุตสาหกรรมระยองไทย-จีน ในจังหวัดระยอง ที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างจีนและไทย

 

 

การดึงดูดลงทุนจากต่างประเทศของไทยในมุมมองของจีน

 

นิคมอุตสาหกรรมส่งเสริมวิสาหกิจจีนให้ “ก้าวไปสู่ระดับโลก” มากขึ้น บริษัทจีนหลายแห่งเริ่มเลือกที่จะสร้างโรงงานที่นี่ ไม่เพียงเพราะข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของ​ ​“EEC” เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะข้อดี ของโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับด้วย เนื่องจากรัฐบาลทั้งสองเสนอให้เชื่อมโยง​ “EEC” กับ “BRI” โดยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานโดยรอบ เช่น ท่าเรือ สนามบิน และทางหลวง ได้กระตุ้นการสร้างสรรค์ของภูมิภาคที่ชัดเจนมาก  

 

ในบริบทของความเชื่อมโยงระหว่าง “EEC” ของไทยกับ “BRI” ของจีน ทำให้การพัฒนาระดับภูมิภาคได้เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ ระยะแรกของโครงการรถไฟจีน-ไทย ซึ่งเป็นระบบรถไฟที่เชื่อมกับ “EEC” ได้เข้าสู่ขั้นตอนการก่อสร้างเต็มรูปแบบแล้ว

 

หลังจากหลายปีของการก่อสร้างและการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมระยองไทย-จีน ที่จังหวัดระยอง ได้กลายเป็นศูนย์กลางคลัสเตอร์อุตสาหกรรม และฐานการส่งออกการผลิตของอุตสาหกรรมดั้งเดิมของจีนในประเทศไทยอย่างค่อยเป็นค่อยไป 

 

โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 มีบริษัทมากกว่า 30 แห่งเข้ามาในนิคม โดยบริษัทจีนที่ลงทุนในประเทศไทย ไม่เพียงแต่ต้องการสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ปลอดภัยและมีการพัฒนาอย่างดีเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาด้วยว่า โครงสร้างพื้นฐานในนิคม สามารถตอบสนองความต้องการด้านกำลังการผลิตได้หรือไม่

 

การเร่งก่อสร้าง “EEC” ในฐานะที่เป็นหนึ่งในนิคมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าในต่างประเทศแห่งแรกของจีน นิคมอุตสาหกรรมระยองไทย-จีน​ ตั้งอยู่ในพื้นที่หลักของ “EEC” ของประเทศไทย และตั้งอยู่ระหว่างระเบียงเศรษฐกิจลุ่มแม่นํ้าโขงกับเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานอุตสาหกรรมดั้งเดิม และศูนย์กลางการขนส่งทางเรือของประเทศไทย

 

โอกาสของความร่วมมือทางเศรษฐกิจจีน-ไทย มีแนวโน้มสดใส โดยเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 65 นายหวัง อี้ รัฐมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้จัดการเจรจาที่กรุงเทพฯ กับ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย

 

ทั้งสองประเทศควรร่วมกันตระหนักถึงความสมบูรณ์ของเส้นทางรถไฟจีน-ลาว-ไทย เพื่อให้ทางรถไฟลงใต้สู่ “EEC” ของไทย ขึ้นเหนือผ่านลาวเข้ามณฑลยูนนานของจีนและจะเชื่อมต่อกับ “ช่องทางใหม่ทางบกและทางทะเล” ที่ได้ส่งเสริมการขนส่งผ่านช่องทางและส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้าน ตลอดเส้นทาง อันนำประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนใน 3 ประเทศมากขึ้น 

 

อาจกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างจีนและไทย ยังสะท้อนให้เห็นในความจริงของการค้าทวิภาคีที่ยังคงเพิ่มขึ้น

 

(ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://m.21jingji.com/.../fb651575aacf2423130ef29c561d77)