ลงทุนถูกทางหรือยัง?

30 ก.ค. 2565 | 23:35 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ก.ค. 2565 | 06:36 น.

ลงทุนถูกทางหรือยัง? : โลกในมุมมองของ Value Investor บทความโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า

การลงทุนนั้น  ผมคิดว่าสำหรับคนที่เริ่มลงทุนใหม่ ๆ  หรือลงทุนมาไม่นานในตลาดหลักทรัพย์ใดก็ตาม  เรามักจะเริ่มโดยใช้กลยุทธ์หรือวิธีการที่อาจจะไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์หรือภาวะการณ์ของตลาดนั้นแม้ว่าเราอาจจะใช้หลักการใหญ่ ๆ ที่ถูกต้อง  

 

อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนที่ดีจะต้องคอยตรวจสอบหรือประเมินว่า  อะไรคือสิ่งที่ควรจะปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงเพื่อให้การลงทุนได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในระยะยาว  และนั่นก็มักจะนำไปสู่การ  “ปรับพอร์ต” ขนานใหญ่เมื่อเวลาผ่านไป  การปรับพอร์ตเองก็มักจะใช้เวลาเนื่องจากว่า  กว่าจะรู้ว่าพอร์ตแบบใหม่นั้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็จะต้องใช้เวลา  ส่วนใหญ่ก็หลาย ๆ  เดือนหรือเป็นปี ๆ  จนเรามั่นใจว่า  นั่นคือพอร์ตที่เราจะใช้ไปอีกนานหรือตลอดไป  

 

การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเริ่มแรกของผมราวปี 2538-39 ก็เริ่มจากการลงทุนแบบไม่ค่อยมีรูปแบบ  เป็นแนว  “เล่นหุ้น” ตามสถานการณ์  การใช้กลยุทธ์แบบ VI อย่างจริงจังนั้นน่าจะเริ่มในปี 2540 ที่เป็นวิกฤติต้มยำกุ้ง  ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนแนวทางเป็นเรื่องของการ “ลงทุน” แล้ว  ยังเป็นการลงทุน  “เพื่อชีวิต”  คือลงทุนแบบทุ่มเทเอาจริงเอาจังด้วยเงินทั้งหมดที่มีอยู่  ใช้หลักการแบบ “Value Investment” ที่มองหุ้นเหมือนกับ “ธุรกิจ”  และลงทุนระยะยาวตลอดชีวิต  ที่เน้นว่าจะขาดทุนหรือเสียหายหนักไม่ได้  เพราะมันเป็น “ชีวิตของเรา”  และนั่นก็คือภาพใหญ่

 

 

เวลาต่อมา  กลยุทธ์ลงทุนแบบ VI ที่ซื้อหรือลงทุนในหุ้นแทบทุกรูปแบบ  คือไม่ได้สนใจว่าธุรกิจเป็นแบบไหน  เช่น  เป็นโภคภัณฑ์ล้วน ๆ  หรือเป็นหุ้นที่เล่นตามเหตุการณ์พิเศษเช่น เป็นบริษัทส่งออกที่กำลังได้เปรียบทางด้านค่าเงินบาทที่อ่อนตัวอย่างรวดเร็ว  หรือเป็นหุ้นสินค้าผู้บริโภคที่มียี่ห้อ  ก็เริ่มเปลี่ยนไป  พอร์ตเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการถือหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” เพียงไม่เกิน 6-7 ตัวที่มีมูลค่าสูงถึง 70-75% ของพอร์ต  และนั่นก็คือสิ่งที่ผมทำจนถึงทุกวันนี้

 

การเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเมื่อ 6-7 ปีก่อนของผมเองก็มีวิวัฒนาการคล้าย ๆ  กัน  นั่นก็คือ  แม้ว่าจะใช้หลักการ “VI”  ตั้งแต่แรก  แต่วิธีการก็ไม่ได้เหมือนในตลาดหุ้นไทยเลย  เอาแค่จำนวนหุ้นก็ถือเป็นกว่าร้อยตัวเข้าไปแล้ว  ซึ่งผลลัพธ์การลงทุนที่ได้ก็ต้องบอกว่าน่าผิดหวังและผลระยะยาวก็คงจะไปไม่ได้  หุ้น “ติดหล่ม” มาหลายปีก่อนที่ผมจะเริ่ม “ปรับพอร์ตครั้งใหญ่”  ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา  จนถึงวันนี้  ถึงแม้ว่าจะยังมีหุ้นกว่าร้อยตัวอยู่   แต่หุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกและหุ้นปลอดภัยราคาถูกเพียงประมาณ 8-9 ตัว กลับมีมูลค่าถึงกว่า 75% ของพอร์ตโดยรวม  และผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็โดดเด่นในช่วงประมาณปีครึ่งที่ผ่านมา

 

ปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามโตขึ้นถึง 35% และแทบจะเรียกว่า “ดีที่สุดในโลก” นั้น  หุ้นที่ใหญ่ที่สุด 4 ตัวของผมที่ผมคิดว่าเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึงประมาณ 40%  แต่ในช่วง 7 เดือนของปี 2565 นี้  ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามให้ผลตอบแทนติดลบถึงประมาณ 20% หุ้น 4 ตัวดังกล่าวกลับให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกประมาณ 4%

 

ขณะที่หุ้นกลุ่ม  Defensive โดยเฉพาะที่ทำเกี่ยวกับสาธารณูปโภคโดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีราคาค่อนข้างถูกอีก 4 ตัวที่มีขนาดใหญ่รอง ๆ  มาของพอร์ตก็ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยประมาณ 9%  และนั่นทำให้พอร์ตหุ้นเวียดนามโดยรวมที่รวมถึงหุ้นอีกกว่า 100 ตัว ยังไม่ติดลบทั้ง ๆ  ที่ตลาดหุ้นเวียดนามตกลงมาหนักมาก

 

ที่สำคัญยิ่งกว่าผลงานทางด้านของ “ราคาหุ้น” ก็คือ  ผลประกอบการของบริษัทหรือหุ้นทั้งแปดตัวก็คือ  กำไรของเกือบทุกบริษัทต่างก็เติบโตโดดเด่นตามราคาหุ้น  ไม่มีหุ้นตัวไหนมีราคาผิดธรรมชาติ  ค่า PE ของหุ้นสมเหตุผลที่ไม่เกิน 30 เท่า  แต่ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ที่ประมาณ 20 เท่าเศษ ๆ  

 

แต่ก็มีบางตัวโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่าและปันผลค่อนข้างดีที่เกิน  5% ต่อปี  และนั่นจึงทำให้พวกมันไม่ได้ตกลงมารุนแรงในยามที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก  ผมเองคิดว่า  อนาคตหลังจากนี้  ที่ภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นแล้ว  หุ้นพวกนี้จะปรับตัวขึ้นได้รวดเร็วเพราะมันไม่แพงและยังเติบโตดี 

 

แน่นอนว่าผลตอบแทนจาก “พอร์ตใหม่” เพิ่งจะแสดงออกมาเพียงปีครึ่งหรือ 2 ปี   ยังไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่ามันจะคล้าย ๆ  กับพอร์ตซุปเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปกว่า 10 ปีที่แล้วที่ทำให้ VI ไทยจำนวนมาก “ร่ำรวย”  จากการลงทุนไปเลยเพราะสามารถสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องในระดับหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีติดต่อกันยาวนาน  

 

โดยที่เหตุผลก็คือ  หุ้นที่เป็น VI มีการเติบโตของกำไรสูงบวกกับการปรับค่า PE ของหุ้นที่เพิ่มขึ้นไปมากจนบางตัวสูงถึง 30-40 เท่าหรือมากกว่านั้น    เนื่องจากนักลงทุนที่มุ่งมั่น  “ทั้งประเทศ” แทบจะเรียกตัวเองว่าเป็น VI และ “ไล่ล่า” หาหุ้นที่การเติบโตสุดยอดและดันราคาของหุ้นให้สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น  ในขณะที่ในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น  ยังแทบจะไม่มี “VI” ที่จะเข้ามาลงทุนหรือ  “เล่นหุ้น VI”  ดังนั้น  หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ในสายตาของผมหรือ VI ไทย  ก็เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่นักลงทุนต่างชาติสนใจแต่หุ้น “วิ่งช้า” และนักลงทุนส่วนบุคคลของเวียดนามที่เน้นการ “เก็งกำไร”  ไม่ชอบ

 

เราคงต้องดูกันต่อไปว่า  อีกอาจจะ 5-10 ปีข้างหน้า  นักลงทุนเวียดนามจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบนักลงทุนไทยในอดีตไหม  ถ้าเป็น หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ในวันนี้ก็อาจจะเติบโตไปได้อีกมาก  ถ้าเราถือไว้ยาวนานก็อาจจะรวยไปเลย  แต่ถ้าไม่เป็น  อย่างน้อยผมก็คิดว่าเราก็ควรจะได้ผลตอบแทนไม่น่าจะน้อยกว่า 10% แบบทบต้น  

 

สิ่งที่ผมรู้สึกดีในการถือหุ้นเหล่านั้นจริง ๆ ก็คือ  มันน่าจะเป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงและเราสามารถลงทุนในปริมาณที่มากได้อย่างสบายใจ  และดังนั้น  ผมจึงคิดว่านี่คือพอร์ตที่ผมจะถือยาวและไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญอีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี

 

สิ่งที่ผมอาจจะทำบ้างก็คือ  การ “ปรับพอร์ตในรายละเอียด” นั่นก็คือ  หุ้นอีกกว่า 100 ตัว ผมจะทำอย่างไรกับมัน?   ในชั้นนี้ผมก็มักจะขายออกไปบ้างเมื่อมีโอกาส  แล้วใช้เงินนั้นซื้อหุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกแทน   อย่างไรก็ตาม  ในขณะที่ไม่ได้ทำอะไร  ประโยชน์ของมันก็มีอยู่นั่นคือ  มันยังจ่ายปันผลค่อนข้างดีมากกับผมทุกปี  

 

นอกจากนั้นหุ้นบางตัวนั้น  เนื่องจากตัวเล็กมาก  มันจึงโตได้เป็นหลาย ๆ “เด้ง” หรือหลาย ๆ  เท่าในเวลาไม่กี่ปี  บางตัวเป็น  10 เด้ง  ซึ่งก็ทำให้มันสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นมีการเก็งกำไรสูงอย่างในปี 2564 ที่มันให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นซุปเปอร์สต็อกด้วยซ้ำ