BYD ไม่ได้ดี แค่มีชื่อเหมือนกัน

13 ก.ย. 2565 | 19:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

แม้ว่า บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD จะไม่มีความเกี่ยวพันทางธุรกิจกับ บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศจีนที่พึ่งจะซื้อที่ดินจำนวน 600 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เพื่อเตรียมสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 2 หมื่นล้านบาท เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แต่ถึงแม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันโดยตรง ในช่วงปี-สองปีที่ผ่านมาก็พบว่าทาง บล. บียอนด์ (BYD) ก็ได้เข้าไปทำธุรกิจที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าร่วมกับ บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA และ บมจ. เน็กซ์ พอยท์ หรือ NEX 


โดยทาง EA เป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่และพันธมิตร (EA ประกาศเข้าซื้อหุ้นบล.บียอนด์ จำนวน 23.6% เมื่อ 30 มิ.ย. 65) ขณะเดียวกัน EA ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NEX โดยในส่วนของ บล.บียอนด์ ได้ลงทุนใน บริษัทไทยสมายล์บัส (TSB) ซึ่งได้รับใบอนุญาตวิ่งรถโดยสารในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 71 เส้นทาง ขณะที่ EA ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตรถบัสไฟฟ้าและให้บริการสถานีประจุไฟฟ้า ส่วนทาง NEX ทำหน้าที่เป็นผู้จำหน่ายและซ่อมบำรุงรถบัสไฟฟ้า จนทำให้ทั้ง 3 บริษัท มีระบบ Ecosystems ในระบบการทำธุรกิจรถบัสไฟฟ้าที่สมบูรณ์

ดังนั้นการที่ บล. บียอนด์ (BYD) จะได้รับอานิสงส์ในใช้ประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของกับ บริษัท บีวายดี ออโต้ อินดัสทรี จำกัด ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้แบบฟ้าประทาน เพราะถึงจะไม่เกี่ยวกันแต่อย่างน้อยก็ใช้ชื่อ BYD เหมือนกันนั่นเอง (ฮา)
     

*** ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งที่ 2 ที่ราคาหุ้นของ AWC สามารถก้าวข้ามราคา IPO ที่ 6.00 บาท นับตั้งแต่เคยทำจุดสูงสุดที่ 6.80 บาท เอาไว้ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของการเข้าตลาดฯ เมื่อ 3 ปีก่อน และหากมองไปที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 65 ก็พอจะเห็นได้ว่า บริษัทฯ เริ่มมีทิศทางของผลงานที่ดีขึ้น ขณะที่หากมองไปตามแนวโน้มของธุรกิจในอนาคตซึ่งเริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาในประเทศก็จะพบว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ AWC ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาแล้วจริงๆ 

อย่างไรก็ตาม การที่ราคาหุ้นหน้ากระดานได้เดินอยู่บนค่าเฉลี่ยของราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ รวมถึงหากมองราคาหุ้นผ่านทางกราฟเทคนิคก็จะเห็นว่า การที่ราคาหุ้นที่ยืนเหนือระดับราคา Overbought มาแล้วพักใหญ่มีโอกาสมากที่จะกลับไปสู่การพักตัว ดังนั้น เกมของ AWC ในรอบนี้จึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความระวังให้มากขึ้น อาจจะไม่ถึงขั้น “ลุกช้าจ่ายรอบวง” เพียงแต่อาจจะต้องรอนานเท่านั้นเองเจ้าค่ะ
     

*** เจ๊เมาธ์ยังมองว่า ราคาหุ้นปัจจุบันของ GULF มีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปได้อีกไม่น้อย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโครงสร้างของธุรกิจที่ถูกกระจายเอาไว้ในหลายส่วน จนทำให้ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไม่มีอิทธิพลที่มากจนเกินไป ส่วนที่สองคือ การวางเกมให้เงินทำงานโดยในส่วนของ GULF ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งในส่วนการร่วมธุรกิจกับ BINACE การร่วมมือกับ GUNKUL และล่าสุดการเข้าไปซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson ขนาด 1,200 MW ที่สหรัฐอเมริกา ต่างก็เป็นเกมที่ใช้เงินทำงานทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อการลงทุนทั้งหมดที่ว่านี้มีรายได้และกำไร เราอาจจะไม่ได้เห็นราคาหุ้นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นได้ เจ๊เมาธ์แนะนำเลยว่าหุ้นตัวนี้เก็บยาวได้แน่นอนค่ะ
      

*** เจ๊เมาธ์ยังคงมองว่าสำหรับ AOT การขยับราคาขึ้นลงในกรอบกว่า 70 บาท ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ไม่จำเป็นจะต้องตื่นเต้น เพราะแม้นักท่องเที่ยวจะมีเข้ามาในประเทศแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น แต่การต่ออายุมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการสนามบินไปจนถึงวันที่ 31 มี.ค. 66 ก็จะทำให้ AOT ยังไม่มีรายได้ที่มาจากค่าเช่าพื้นที่ไปอีกนาน ขณะเดียวกันการได้เข้าไปบริหารจัดการท่าอากาศยานอีก 3 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานอุดรธานี, ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ และ ท่าอากาศยานกระบี่ แม้ว่าจะทำให้เกิดมุมมองในเชิงบวกต่อแนวโน้มของธุรกิจในอนาคต แต่การเข้าไปบริหารจัดการก็จะมาพร้อมกับต้นทุนที่ AOT อาจจะต้องควักจ่ายออกไปก่อนด้วยเช่นกัน ดังนั้นสำหรับเจ๊เมาธ์ AOT จึงเป็นหุ้นที่ไม่จำเป็นต้องรีบเข้า จนกว่าจะมีความชัดเจน หรือถ้าใครอยากจะเข้าก็ไม่เป็นไร...ของแบบนี้มันแล้วแต่คนชอบเจ้าค่ะ 


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,818 วันที่ 15 - 17 กันยายน พ.ศ. 2565