จากการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ในการพัฒนาประเทศในระยะกลางและระยะยาว มุ่งเน้นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อวางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต และหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางโดยเร็ว โดยปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจ (Industry Transformation) พัฒนาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ (New Growth Engine)
การจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) เป็นหนึ่งในนโยบายที่จะช่วยพัฒนาบทบาทให้ประเทศไทยเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลก โดยรัฐบาลจะมุ่งสู่เป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของโลก
พร้อมผลักดันการยกร่างกฎหมายชุดใหม่ที่มีความเป็นสากล โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ออกแบบสิทธิประโยชน์ที่จูงใจนักลงทุนและพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการเงิน (Ecosystem) โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยให้สอดรับกับความต้องการของบริษัทด้านการเงินระดับโลก
ล่าสุด กระทรวงการคลังจึงได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางทางการเงิน) ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2567 ไปจนถึง 9 มกราคม 2568 เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางทางการเงินประกอบด้วย 9 หมวด 96 มาตรา
เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกและดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในไทย จึงต้องมีการกำหนดแนวทางในการส่งเสริมและดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมทางการเงินที่กำหนดเป็นธุรกิจเป้าหมาย
โดยเป็นการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ การกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลที่เหมาะสม การพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการเงิน รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานให้สอดรับกับความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินระดับโลก
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ทัดเทียมกับศูนย์กลางทางการเงินในต่างประเทศ เช่น เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐสิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น สามารถดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงินให้เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยได้
โดยให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เว้นแต่กิจกรรมการมีส่วนร่วมในตลาด (Market Participant) ซึ่งการดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศ จะทำให้ทรัพยากรบุคคลมีทักษะด้านการเงินเพิ่มขึ้นทั้งแรงงานในประเทศและแรงงานจากต่างประเทศ
เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศ อันจะเป็นรากฐานในการพัฒนาโครงสร้างทางธุรกิจการเงินของไทยต่อไปในอนาคต
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ:
ผลกระทบด้านสังคม: