7-11 กิน...พวกเดียวกันก็ได้!

27 ธ.ค. 2565 | 21:00 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ธ.ค. 2565 | 23:48 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** ตลาดหุ้นปลายปี...อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะหลังจากที่ราคาหุ้นตระกูล ป. ทั้ง PTT PTTEP PTTGC และ OR ได้ปรับราคาขึ้นมาแรง เนื่องจากตลาดคลายความกังวลเรื่องที่กองทุน Pension Fund ของรัฐบาลนอร์เวย์ขายหุ้นของ PTT และ OR ทิ้งทั้งหมด (0.35% และ 0.23%) ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาแรง 


ล่าสุดก็มีปัจจัยบวกเพิ่มเติม จากการยกเลิกมาตรการกักตัวผู้โดยสารทั้งหมดจากนอกประเทศที่เดินทางเข้าจีน ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 66 ทำให้ผู้ที่เดินทางเข้าไปแผ่นดินใหญ่ และ มาเก๊า จากเดิมที่จะต้องกักตัวเหลือเพียงแค่แสดงผลการตรวจ PCR เป็นเวลา 48 ชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่องแทน ซึ่งก็หมายถึงการ “เปิดประเทศ” ของจีนนั่นเอง กรณีนี้หุ้นที่เกี่ยวข้องได้แก่หุ้นกลุ่มสายการบินอย่าง AAV BA และ AOT จะได้ประโยชน์จากการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยว 


ส่วนทางหุ้นกลุ่มโรงแรม ไม่ว่าจะเป็น MINT CENTEL AWC ERW ก็จะได้ประโยชน์ทั้งโรงแรมในประเทศและในยุโรป นอกจากนั้นก็ยังมีหุ้นกลุ่มพลังงาน โรงกลั่นและการขายน้ำมันเชื้อเพลิงอย่าง PTT PTTEP TOP BCP ESSO OR PTG  เป็นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น


 อย่างไรก็ตาม...น่าสังเกตว่าหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลอย่าง EKH WPH PR9 BCH CHG THG และ อีกหลายโรงพยาบาล ก็จะได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยเช่นกัน เพราะนอกจากจะเข้ามาใช้บริการตามปกติก็ยังมีประเด็นที่เกี่ยวกับการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศของนักท่องเที่ยวจีนอีกด้วย ก็มีทั้งเรื่องดี และเรื่องที่ไม่ดี ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมตลาดหุ้นไทยถึงได้ขานรับการเปิดประเทศของจีนมากขนาดนี้นั่นเอง

*** การกลับมาเปิดประเทศของจีน ทำให้หุ้นที่เคยเงียบหายไปอย่าง BEAUTY กลับมามีสีสันได้อีกครั้ง แต่ถ้าจะมองในมุมมองของเจ๊เมาธ์...เจ๊กลับมองว่า การขยับราคาของหุ้นตัวนี้ ยังเป็นแค่เพียงการเกาะกระแส แต่ไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานที่จะเปลี่ยนแปลงไป อย่างหนึ่งคือ ผลการดำเนินงานที่ยังขาดทุนต่อเนื่องมานานหลายปี ส่วนอย่างที่สอง เป็นเรื่องของตัวสินค้าที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความนิยมจากชาวจีน แต่เนื่องจากปัญหาในเรื่องความต่อเนื่องของการขายและการตลาด


ก็ทำให้ตลาดสินค้าของ BEAUTY ปรับลงจนอาจจะยากที่จะกลับเข้าไปอยู่ในจุดเดิมได้ และท้ายที่สุดก็เป็นประเด็นที่มาจากที่ก่อนหน้านี้หลายปี หมอวิน “นพ.สุวิน ไกรภูเบศ” และภรรยา ซึ่งเป็นทั้งผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ขายหุ้นเพื่อทำกำไรออกมาเป็นจำนวนมาก จนเป็นเหตุให้นักลงทุนกลัวที่จะถือหุ้นตัวนี้ในระยะยาว เพราะไม่แน่ใจว่าจะถูกเทอีกเมื่อไหร่นั่นเอง


*** CPALL ถือว่าเป็นหนึ่งในหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน เพราะประเทศไทยถือว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายการเดินทางที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางมามากที่สุดแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ทิศทางการขยับราคาหุ้นของ CPALL ก็กำลังเป็นขาขึ้น อย่างหนึ่งคือ ผลการดำเนินงานที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น แม้ว่าดูจะขยับช้าไปบ้าง แต่ก็ฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากได้รับรู้ผลการดำเนินงานของ Lotus’s ผ่านทางการได้รับหุ้นเพิ่มทุนของ MAKRO เข้ามาอยู่ในพอร์ต

ส่วนอีกเรื่องก็คือ จำนวนสาขาของร้าน 7-11 ที่มีเพิ่มมากขึ้น ขณะที่สาขาใหม่เน้นไปที่การเป็นร้านในแบบ Stand Alone ที่อำนวยความสะดวกในเรื่องพื้นที่จอดรถ ซึ่งเป็นจุดขายใหม่ ที่แม้ว่าจะต้องแลกมากับการปิดตัวของร้าน 7-11 ที่อยู่ตามอาคารพาณิชย์แบบเดิม จนผู้ซื้อแฟรนไชส์หลายรายต้องเจ็บตัว อย่างว่า....ปลาใหญ่กินปลาเล็กมันก็เป็นแบบนี้ ยิ่งถ้าปลาที่ตัวใหญ่มากๆ จะกินพวกเดียวกันเองก็ยังได้ เพราะในท้ายที่สุดมันก็เป็นทาง CPALL ที่จะได้ประโยชน์อยู่ดี 


*** แม้ว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะเริ่มนิ่งไม่ขยับ แต่สำหรับเจ๊เม้าธ์หุ้นกลุ่มธนาคารยังน่าสนใจ...ยิ่งถ้าหากนักลงทุนคิดว่าการใช้ค่า P/E เป็นหนึ่งในการพิจารณาความเหมาะสมของปัจจัยพื้นฐาน บอกได้เลยว่า ตอนนี้ BBL มีค่า P/E เท่ากับ 9.90 เท่า, SCB มีค่า P/E เท่ากับ 8.68 เท่า KBANK มีค่า P/E เท่ากับ 8.06 เท่า 


ส่วนทาง KTB มีค่า P/E เท่ากับ 8.20 เท่า ซึ่งถ้าดูไปแล้วก็จะเข้าเกณฑ์ของการเป็นหุ้นดีมีปันผลทั้งนั้น ยิ่งจังหวะนี้เป็นทิศทางของดอกเบี้ยขาขึ้น ที่หุ้นกลุ่มธนาคารเหล่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดอยู่แล้วด้วย ยิ่งทำให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีก ไม่ซื้อตอนนี้...ในอนาคตอาจจะต้องมาเสียดายที่ไม่ซื้อไว้ก็เป็นได้เจ้าค่ะ 


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,848 วันที่ 29 - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565