*** หุ้นกลุ่มลีสซิ่งรายใหญ่ทั้ง MTC SAWAD และ TIDLOR ปรับราคาลงมาอยู่ในจุดต่ำที่สุดในรอบปี โดยมีประเด็นเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้นที่เป็นปัจจัยสร้างแรงกดดันที่มากที่สุด เนื่องจากดอกเบี้ยขาขึ้นที่ว่านี้ ทำให้บริษัทลีสซิ่ง ซึ่งต่างก็เป็นลูกค้าที่กู้เงินจากสถาบันการเงิน มาทำธุรกิจเพื่อกินดอกเบี้ยส่วนต่าง และเมื่อสถาบันการเงินปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็ทำให้เกิดภาระจ่ายตามขึ้นมาทันที
อย่างที่สองคือ การขึ้นดอกเบี้ยของสถาบันการเงินทำให้โอกาสที่จะเกิดหนี้เสีย (NPL) ทั้งในส่วนของลูกค้าของสถาบันการเงินและลูกค้าลีสซิ่งด้วยเช่นกัน ซึ่งในกรณีของการเฝ้าระวังหนี้เสีย (NPL) ล้นระบบทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเข้ามาควบคุมเพดานดอกเบี้ย จนช่องทางการสร้างรายได้ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นของบริษัทลีสซิ่งหดหายตามไปด้วย
นี่ยังไม่นับรวมคู่แข่งที่เกิดจากการที่มีสถาบันการเงินหลายแห่ง ลงมาเล่นในธุรกิจลีสซิ่งด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ทั้งรายได้และกำไรของ MTC SAWAD และ TIDLOR ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ต่างก็ยังอยู่ในจุดที่เดินสวนทางกับราคาหุ้นที่เป็นอยู่ รวมถึงความชำนาญในธุรกิจและจำนวนสาขา ที่มีมากกว่ายังเป็นข้อได้เปรียบที่จะเข้ามาชดเชยปัญหาที่เกิดจากดอกเบี้ยขาขึ้น
เจ๊เมาธ์จึงมองว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหุ้นลีสซิ่งทั้ง 3 เป็นแค่ความแตกตื่นตามปัจจัยเชิงลบชั่วคราวเท่านั้น จังหวะนี้เจเมาธ์มองว่าหุ้นทั้ง 3 กำลังอยู่ในจุดที่น่าสะสมมากอีกหนึ่งกลุ่ม
*** ท้ายที่สุดแม้ว่าจะไม่มีใครขวางการควบรวมกิจการของ TRUE และ DTAC ได้ก็ตาม แต่ก็อาจจะสร้างกติกาที่ทำให้การควบรวมที่กำลังจะเกิดขึ้น ยังเป็นการควบรวมที่ไม่สมบูรณ์ไปอีกหลายปี เนื่องจาก กสทช. ยังมีอำนาจในการกำหนดกติกา เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะจากการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัท
ประเด็นนี้ นักวิเคราะห์มองว่า กติกาจะออกมาในรูปแบบของการกำหนดราคาขั้นต่ำหรือขั้นสูง มีการกำหนดเงื่อนไขคุณภาพบริการและคุณภาพโครงข่าย รวมถึงการออกมาตรการเรื่องการแข่งขันและการฮั้วด้านราคา ภายใต้สถานการณ์ที่สภาพการแข่งขันจะลดลงเหลือผู้เล่นรายใหญ่เพียง 2 ราย ซึ่งหมายความว่า ทั้ง TRUE และ DTAC จะยังไม่ได้รับอานิสงส์จากการควบรวมกิจการ ผ่านออกมาทางตัวเลขผลการดำเนินงานไปอีกหลายปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีใครขวางได้อีกแล้ว เรื่องกติกาเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จึงน่าไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเก็บเอามาคิด เพียงแต่ใครที่คิดว่า เมื่อรวมตัวแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นในทันที ก็อาจจะต้องคิดใหม่เท่านั้นเองค่ะ
ไม่แน่ว่าการควบรวมกิจการของ TRUE และ DTAC จะเป็นผลร้ายกับทาง ADVANC เพียงอย่างเดียว อานิสงส์อย่างหนึ่งที่ได้รับ อาจเป็นเพราะกว่าที่ทั้งสองจะรวมตัวกันได้ ก็เป็นโอกาสให้ ADVANC ได้มีโอกาสเตรียมตัวทั้งเรื่องของการซื้อ TTTBB และ JASIF โดยในส่วนของการซื้อ TTTBB เข้ามาจะดันให้ ADVANC ขยับขึ้นมาเป็นผู้ให้บริการบรอดแบนด์เบอร์ 1
ขณะที่การซื้อหน่วยลงทุน JASIF ก็จะทำให้สามารถที่จะต่อรองในการลดค่าเช่าใช้โครงข่ายเคเบิลใยแก้วของ JASIF รวมถึงการที่จะมีส่วนของรายได้ที่จะมาจากส่วนแบ่งของเงินปันผลที่ได้จากการถือหน่วยลงทุน
รวมๆ แล้วคาดว่า จะเพิ่มกำไรสุทธิให้ ADVANC 1.3 พันล้านบาท (อัพไซด์ 4% ต่อกำไร ปี 2566) หากค่าเช่ารายปีของ JASIF ลดลงเพียง 15% (แทนที่จะลดลง 31% อย่างที่ ADVANC ต้องการ) คาดว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเพิ่มกำไร 395 ล้านบาท (อัพไซด์ 1% ต่อกำไรปี 2566) ได้เลยทีเดียว
นี่ยังไม่นับรวมไปถึงเรื่องการแข่งขันในธุรกิจ ที่จะเหลือผู้เล่นเพียง TRUE+DTAC กับ ADVANC ซึ่งการเหลือผู้เล่นเพียง 2 ราย ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นการแข่งขันเพียงในนาม จนถึงขั้นอาจเอื้อประโยชน์ประมาณว่า แบ่งกันกินเกิดขึ้นได้ในอนาคตก็เป็นไปได้ ดังนั้น รอบนี้บอกเลยว่ามีแต่ได้...ไม่มีเสีย
ประมาณว่าถ้า TRUE และ DTAC เป็นตาอินกับตานา ที่กำลังแย่งชิงผลประโยชน์และความอยู่รอดให้กับตัวเอง ส่วนทาง ADVANC ก็น่าจะ “ตาอยู่” ที่รอรับผลประโยชน์ไปโน้นเลยทีเดียว
*** อย่างที่เจ๊เมาธ์บอกมาตลอดว่า TLI เหมาะสำหรับใช้เป็นหลุมหลบภัย แต่หากคาดหวังว่าจะเล่นเก็งกำไรแล้วอาจจะยากพอสมควร อย่างแรกคือหุ้นตัวนี้พึ่งเข้าตลาดฯ และพึ่งขยับเหนือราคาจองขึ้นมาได้ไม่นาน หมายความว่าใครที่มีต้นทุนต่ำกว่าราคาหุ้นหน้ากระดาน ต่างก็พร้อมที่จะเทขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นอยู่ตลอด
ต่อมาคือการที่ TLI เป็นบริษัทที่คาดการณ์เรื่องจังหวะของรายได้และกำไรได้ไม่ยาก ทำให้ทุกครั้งที่ราคาหุ้นขยับขึ้นมาก็มีโอกาสที่จะถูกขายทำกำไรได้ง่ายเช่นกัน ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาการขยับราคาของ TLI ล้วนแล้วก็เป็นไปตามเรื่องกระแสข่าวของดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งยังไม่สามารถชี้วัดเป็นตัวเลข
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราคาหุ้นของ TLI มักจะถูกเหวี่ยงแรงๆ แบบที่เห็น อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ยังยืนยันว่า TLI เป็นหุ้นที่เก็บยาวได้ เพียงแต่อาจจะต้องใช้จังหวะเก็บตอนย่อเท่านั้น ก็อย่างว่า...หุ้นหลุมหลบภัยมันก็เป็นแบบนี้เองเจ้าค่ะ
*** เรื่องจริงหรือข่าวลือ โบรกเกอร์ทุนหนา เงินเหลือเยอะ ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไรให้เกิดดอกผลงอกเงย เลยให้ขาใหญ่ไม่ว่าแก๊งโต๊ะบล็อก หรือ คนคุ้นเคย ซื้อหุ้นฝากไว้ในพอร์ตบริษัท ไม่ต้องวางหลักประกัน ไม่ต้องแปลงเป็นสัญญาบล็อคเทรด คิดแค่ดอกเบี้ยแค่นี้ก็รวยรับเต็มๆ
ไม่หวาดไม่ไหว ไม่ต้องสนใจค่าคอมมิชชั่นที่ลดลงทุกวี่ทุกวัน เงินเป็นพันล้านมีให้ใช้จะปั่นหุ้นอะไรก็ขึ้น รายย่อยจะถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างไร ก็ไม่สน ขอแค่โบรกตรูรวยเป็นพอ ทางการตรวจเจอก็ไม่กล้าเล่น กลัวเสียขาใหญ่ TFEX โถ โถ...ต้องทำมาหากินกันแบบนี้แล้วเหรอนี่ ตลาดหลักทรัพย์ กับ ก.ล.ต อย่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เชียวนะคะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,822 วันที่ 29 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565