*** หลังจากที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา ในฐานะนายกสมาคมและตัวแทนสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้ยื่นฟ้องเมื่อปี 2559 ล่าสุด ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ให้ “เพิกถอน” ใบอนุญาตก่อสร้าง “แอชตัน อโศก” (Ashton Asoke) ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นโดย บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ ANAN และ “มิตซุย ฟูโดซัง” ในนามของ “บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด” โดยประเด็นสำคัญ คือ ที่ดินทางเข้า-ออกอาคารแอชตัน อโศก เป็นที่ดินของ รฟม. ซึ่งมาจากการเวนคืน ดังนั้นจึงไม่อาจนำมาให้เอกชนใช้ในการประกอบการได้
ปัญหาประเด็นแรกหากจะต้องทุบทิ้ง ทางด้านของ “อนันดา เอ็มเอฟฯ” จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “แอชตัน อโศก” ที่จะต้องถูกตีมูลค่าเหลือเพียงที่ดินเปล่าขนาด 2 ไร่กว่าๆ จะต้องรับผิดชอบค่ารื้อถอน รวมไปถึงค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดกับลูกค้าของโครงการ ซึ่งอาจจะสูงกว่ามูลค่าโครงการที่ 6.4 พันล้านก็เป็นได้
ส่วนในกรณีที่ไม่ทุบ นอกจากการที่ “อนันดา เอ็มเอฟฯ” จะต้องเจรจากับชุมชนรอบข้าง เจรจากับ รฟม. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออก โดยประเด็นสำคัญก็คือ ทางเข้าออกที่จะต้องติดถนนสาธารณะที่มีทางกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร ซึ่งทางเลือกที่ง่ายที่สุดก็คือ การขยายทางเข้าโครงการให้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด
แต่ปัญหาสำคัญก็คือ เจ้าของอาคารพาณิชย์ติดกับทางเข้าเหล่านั้น เป็นกลุ่มที่ฟ้องศาลจนชนะคดีซึ่งอาจจะมีปัญหา “ขัดแย้ง” กันมาแต่เดิม ดังนั้นเรื่องของการเจรจาเพื่อขอซื้อพื้นที่ทำทางเข้า จึงน่าจะเป็นปัญหาหนัก และอาจมีค่าใช้จ่ายที่หนัก...ไปจนถึงมากตามมา
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์มองว่า ANAN ในนามของ “อนันดา เอ็มเอฟฯ” ถือว่าตกเป็นรองจนไม่มีทางเลือกอื่น และคงจะต้องยอม “กลืนเลือด” ไม่ว่าจะจ่ายแพงแค่ไหนก็คงจะต้องยอมจ่าย เพราะถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าการ “ทุบ” เพราะนั่นหมายถึงการเสียทั้งเงินและเสียทั้งชื่อเสียงนั่นเอง
*** ถึงแม้การทำธุรกิจถ่านหินจะเป็นสิ่งที่ BANPU ไม่อยากพูดถึงเพราะนอกจากจะเป็นธุรกิจพลังงานรูปแบบเก่า ที่ก่อให้เกิดมลภาวะรวมไปถึงส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัท แต่ไม่ว่าจะอย่างไร BANPU ก็ยังไม่สามารถสลัดเอาภาพของการเป็นบริษัทขายถ่าน (หิน) ซึ่งเป็นธุรกิจดังเดิมที่เคยทำ...และยังทำอยู่ทิ้งไปได้
และยิ่งด้วยสถานการณ์ราคาสินค้ากลุ่มพลังงานในตลาดโลกที่ปรับราคาขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ที่กลับมามีราคาสูงขึ้น จนเป็นสาเหตุให้ถ่านหินกลับมามีความต้องการมากขึ้น เพราะเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับต้นทุนพลังงานที่มาจากน้ำมัน
ขณะเดียวกัน หากมองข้ามเรื่องธุรกิจพลังงานยุคเก่า แน่นอนว่าเมื่อความต้องการมากขึ้นนี้ ส่งผลให้ราคาซื้อขายถ่านหินสูงขึ้น และยังส่งผลไปถึงรายได้ และกำไรของของบริษัทที่ทำธุรกิจถ่านหินอีกด้วย ซึ่งเมื่อผลการดำเนินงานดีก็จะสะท้อนผ่านราคาหุ้นก็ทำให้ราคาหุ้นของ BANPU ปรับราคาขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในรอบปี
รวมไปถึงหากมองหุ้น BANPU เพียงในมุมของธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผล รวมไปถึงการเป็นบริษัทที่ค่าพีอีที่ไม่สูงก็จะเห็นได้ว่าหุ้นตัวนี้เป็นหนึ่งในหุ้นที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่ง ส่วนใครจะชอบเล่นรอบ หรือ ชอบที่จะถือยาวก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลแล้วเจ้าค่ะ
*** ราคาหุ้นของ OR ปรับลงไปจนแตะจุดที่ราคาต่ำในรอบปี รวมไปถึงการที่ขยับลงไปใกล้ราคาจองซื้อในตอนที่เข้าตลาด (18 บาท) มีสาเหตุมาจากความกังวลในเรื่องของธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเรื่องหลัก โดยนักวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของ OR จะลดลงค่อนข้างมาก จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วราคาขายน้ำมันเชื้อเพลิงมีค่าการตลาดพุ่งขึ้นสูงกว่าปกติ เนื่องจากความผันผวนของราคาน้ำมันจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน
ขณะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่ม Commercial จะลดลงเนื่องจากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า กลับไปใช้เชื้อเพลิงที่มาจากก๊าซมากขึ้นหลังจากที่ราคาก๊าซปรับลดลง แต่ในทางกลับกันในส่วนของธุรกิจ Lifestyle (Non-Oil) กลับเริ่มดูดี เนื่องจากบริษัทพยายามควบคุมในเรื่องของต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งนั้นก็หมายความว่า ในจุดด้อยที่เกิดจากสินค้ากลุ่มน้ำมันและก๊าซที่มีปัญหา ก็ยังจะได้ในส่วนของธุรกิจ Lifestyle (Non-Oil) เข้ามาทดแทนนั่นเอง
ดังนั้น ราคาที่ใกล้เคียงกับราคาไอพีโอ จึงเป็นระดับราคาที่หลายฝ่ายยอมรับ ถึงจะไม่ได้ดีมาก...แต่ก็ไม่แย่ เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ไว้อย่างแน่นอน
*** ราคาหุ้นของ KEX หลุดลงมาอยู่ในระดับราคาที่วนเวียนอยู่ที่ 10 บาทบวกลบ ก็เป็นอย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปว่า ถึงแม้ KEX เป็นบริษัทที่มีทุนใหญ่มาจากต่างประเทศรองรับเอาไว้ แต่ถ้าธุรกิจไม่มีกำไร จะขยายไปใหญ่แค่ไหนก็ยังไม่น่าสนใจเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้มีบริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกันกับ KEX เสนอหน้าขึ้นมาเป็นผู้เล่นรายใหม่แทบจะตลอดเวลาจนมองแทบไม่เห็นโอกาสที่คู่แข่งจะล้ม...หรือหมดแรงลงไป
ขณะเดียวกัน ตามทรงแล้วกราฟราคาหุ้นของ KEX ก็ยังทำ Lower low อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกราฟทรงนี้มีแนวโน้มที่ราคาหุ้นอาจจะยังไหลลงไปได้อีกพอสมควร ดังนั้น เจ๊เมาธ์ก็ยังคงมองว่า KEX เป็นหุ้นที่ยังไม่น่าสนใจเช่นเดิม เอาไว้ถ้ามีสัญญาณที่ดีขึ้นมาจริง...เมื่อถึงวันนั้นเจ๊เมาธ์จะรีบป่าวประกาศให้รู้ทันที ยังคงย้ำว่าควรเว้นเอาไว้ก่อน รอให้สวยกว่านี้ค่อยมาว่ากันใหม่อีกทีเจ้าค่ะ