วัคซีนประจำปี รับมือโควิด 19 ระลอกใหม่

22 เม.ย. 2566 | 03:50 น.
อัปเดตล่าสุด :22 เม.ย. 2566 | 04:01 น.

บทบรรณธิการ

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ประเมินสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 (Covid-19) แนวโน้มสูงขึ้นชัดเจนช่วง 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา ทั้งผู้ป่วยรายใหม่และผู้ป่วยหนัก โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว โดยในเชิงของการระบาด มีความคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ ที่ระบาดมากตามฤดูกาล คาดการณ์ว่าอาจมีการระบาดของโควิด 19 สูงขึ้นอีกครั้งในช่วงฤดูฝน 
     
กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือประชาชนเร่งเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ประจำปี ก่อนเข้าฤดูฝน ซึ่งจะเริ่มฉีดในปี 2566 เป็นปีแรก โดยฉีดปีละ 1 เข็ม สามารถใช้วัคซีนชนิดใดหรือรุ่นใดก็ได้ โดยให้ห่างจากเข็มสุดท้าย หรือ ประวัติการติดเชื้ออย่างน้อย 3 เดือน โดยไม่ต้องนับว่าเป็นเข็มที่เท่าใด โดยได้มีการจัดเตรียมวัคซีนให้กับทุกกลุ่มเป้าหมายแล้ว

กรมควบคุมโรค ประเมินผลการสำรวจระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโควิด ในประชากรไทย ส่วนใหญ่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิดแล้ว จากการติดเชื้อหรือการรับวัคซีน จึงมีการปรับแผนเป็นการฉีดวัคซีนประจำปี เน้นให้กลุ่มเสี่ยง 608 ผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว 8 โรค รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี เข้ารับวัคซีนประจำปี โดยเร็ว เพื่อลดอาการป่วยหนัก เสียชีวิต และรักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ ก่อนการระบาดของโควิด 19 ตามฤดูกาล 
     
ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยโควิดมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตนครปฐม สมุทรสงคราม และเริ่มมีจำนวนผู้ป่วยหนักที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลอยู่พอสมควร แสดงให้เห็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง หรือ ความรุนแรงของโควิด กลับมาอีกครั้ง

ฉะนั้น แนวทางการเตรียมการหรือการป้องกัน การรับมือ ต้องย้อนกลับไปสู่ระยะแรก ระยะ 2 ของการระบาดหนัก 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยขั้นต้นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย เลี่ยงสถานที่แออัดโดยไม่จำเป็น หากจำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยไว้ตลอดเวลา 
     
นอกจากนั้นที่สำคัญที่สุด เป็นการเข้ารับวัคซีนรอบใหม่ โดยไม่ต้องคำนึงว่าเพิ่งติดเชื้อ เพิ่งฉีดมาแล้วในปีที่ผ่านมา 4-5 เข็ม รวมทั้งเข็มกระตุ้นก่อนหน้านี้ แต่หากฉีดเข็มสุดท้ายแล้วห่างไป 3 เดือน หรือติดเชื้อแล้วหายไป 3 เดือน ต้องเข้าฉีดวัคซีนเข็มใหม่ประจำปี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ และต้องพยายามดำเนินการเข้ารับวัคซีนก่อนฤดูฝนที่จะมาถึง
 
การเข้ารับวัคซีนจะมีส่วนสำคัญในการผ่อนหนักเป็นเบา  

โดยหากต้องรับเชื้อ อาจไม่ถึงขั้นป่วยหนักในขั้นรุนแรง ไม่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล จึงไม่ควรละเลยและมองสถานการณ์ หรือ ใช้ชีวิตเหมือนสถานการณ์ปกติ แต่ไม่ควรตระหนกจนเกินเหตุ จนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ ต้องนำความรู้ และบทเรียนการระบาดในรอบที่ผ่านมา ดำเนินการปฏิบัติอย่างเข้าใจ เพื่อให้สามารถก้าวผ่านไปด้วยกัน