กลายเป็นโรค Text Neck Syndrome ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ และส่อเค้าว่าจะเป็นโรคยอดฮิตในอนาคตอันใกล้ ตามกระแส “สังคมก้มหน้า” กับอาการปวดคอเรื้อรังของคนติดมือถือ
เพราะทุกวันนี้ผู้คนแทบจะทุกเพศทุกวัยใช้เวลาในการก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์สื่อสารต่างๆ เป็นเวลานาน และนั่นจึงเป็นสาเหตุของการเกิดโรค Text Neck Syndrome โดยพฤติกรรมการก้มหน้าลง จะทำให้คอ และบ่า ต้องแบกรับน้ำหนัก
เพราะน้ำหนักที่เกิดขึ้นจากการกดทับนี้เองที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระดูกสันหลังส่วนคอ ทำให้มีการปูด นูน แตก และเคลื่อนของหมอนรองกระดูกจนไปกดทับเส้นประสาทส่วนคอ ยิ่งเราก้มมากเท่าไหร่ คอและบ่าก็ยิ่งต้องรับน้ำหนักมากขึ้นตามไปด้วย
อาการของโรค Text Neck Syndrome มีหลายระดับ ตั้งแต่อาการปวดเล็กน้อย มีอาการอักเสบของกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า สะบัก และหัวไหล่ ไปจนถึงอาการที่สามารถสร้างปัญหารุนแรง เช่น อาการชา หรืออ่อนแรงของแขนและมือที่อาจเกิดจากความเสื่อมของแนวกระดูก หรือหมอนรองกระดูกส่วนคอ ซึ่งก่อให้เกิดการกดทับของไขสันหลัง หรือรากประสาทบริเวณคอ
นพ.ธนวัฒน์ อุณหโชค แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เผยว่า มีข้อมูลจากวารสารทางการแพทย์พบว่าในทุกๆ 10 องศาที่เราก้มลง จะเพิ่มแรงกดลงที่บริเวณกระดูกสันหลังค่อนข้างเยอะ เช่นการก้มที่ระดับ 30 องศา จะเพิ่มแรงดันเข้าไปเป็น 3 เท่า
อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่การนั่งเล่นมือถือเท่านั้น แต่การนอนหรือยืนเล่นโทรศัพท์มือถือก็เสี่ยงที่จะเป็นโรค Text Neck Syndrome ได้เช่นกัน
ขณะที่วิธีการป้องกัน Text Neck Syndrome ทุกคนควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้งานมือถือ โดยปรับองศาของคอให้อยู่ในแนวตรงมากที่สุด จำกัดและลดระยะเวลาในการใช้งานมือถืออย่างเหมาะสม ไม่ควรเกินครั้งละ 20 นาที และควรให้มือถืออยู่ในแนวตรงระดับสายตา ไม่ก้มหลัง หรือห่อไหล่ขณะใช้งาน หมั่นยืดกล้ามเนื้อ และออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ
ปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคกระดูกคอเสื่อมมากขึ้น จากสถิติของโรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ พบว่า ตั้งแต่ปี 2561-ปัจจุบัน มีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษามากขึ้นถึง 4 เท่า โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงาน สาเหตุจากการทำงานนานโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ รวมไปถึงการก้มเล่นโทรศัพท์มือถือของคนในยุคสังคมก้มหน้า
อีกสาเหตุหนึ่งคือ อายุที่มากขึ้น ข้อต่อต่างๆ ระหว่างกระดูกคอหากรับแรงกระแทกหรือมีการเคลื่อนไหวที่มากและนาน อาจมีการสึกหรอได้
การรักษาโรคกระดูกคอเสื่อมมีหลายรูปแบบ แต่เทคนิคที่โรงพยาบาลนำมาใช้และถือว่าเป็นรายแรก คือ การรักษาด้วยเทคนิค PSCD (Percutaneous Stenoscopic Cervical Decompression) โดยเป็นการผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนคอทางด้านหลัง เพื่อขยายช่องกระดูกสันหลังส่วนคอ
โดยแพทย์จะนำกล้องเอ็นโดสโคป ที่มีความละเอียดสูงเข้าไปในช่องว่างภายในกระดูกคอ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องหมอนรองกระดูกที่กดทับเส้นประสาท สำหรับทางเลือกการรักษาด้วยวิธีนี้มีข้อดีคือ แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก เพียง 0.5-1 เซนติเมตร สูญเสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว นอนโรงพยาบาลเพียง 1 คืน ก็สามารถกลับบ้านได้
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,863 วันที่ 19 - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566