การแก้ไขปัญหาของปัญญาชนย่อมอาศัยธรรมทั้งปวงเป็นที่ตั้ง ไม่อาศัยความต้องการแห่งตนเป็นที่ตั้ง
ความแตกแยกทั้งหลายบนโลกใบนี้ ล้วนเกิดขึ้นมา ออกการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง ตามหลักแห่งธรรมทั้งปวงแหละนี่คือ ผลของกรรมอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
ความใจแคบของคนกลุ่มหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นของความแตกแยกทั้งปวง จากจุดเล็กๆ ก็จะค่อยๆ ขยายเป็นจุดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
สมมุติ มีคนกลุ่มหนึ่งจำนวนไม่มาก ไม่ชอบการทำงานของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไหนมีสติปัญญาเขาก็จะยอมรับฟัง แม้ว่าการแสดงความคิดเห็นของเขาเหล่านั้นไม่ค่อยสมบูรณ์ในหลายๆ มิติของข้อมูลก็ตาม เราก็ควรรับฟังอย่างสงบและสุภาพ แล้วทุกอย่างก็จะสงบ และหลังจากนั้นค่อยๆ ชี้แจง ทำความเข้าใจ
แต่ถ้าไปปฏิเสธไม่รับฟังเขาเพราะถือว่าข้อมูลไม่ครบทุกด้าน ข้อมูลมิติเดียว แบบนี้จะเกิดแรงต้านอย่างมากทันที นี่เรียกว่า การผลักให้เขาไปเป็นศัตรู เป็นการบริหารที่ด้อยพัฒนา ขาดปัญญานำ ใช้แต่อารมณ์นำ เอาความคิดความเห็นของตนนำ นี่แหละอัตตา ขาดธรรมะ เมื่อไหร่อัตตาเกิดอย่างมาก รวดเร็วและร้อนแรง คนแบบนี้เป็นผู้นำเป็นผู้บริหารก็จะพากันหายนะโดยง่ายเพราะขาดหลักธรรมะ
ดังนั้นสิ่งที่จะละลายกรรมแห่งการแตกแยกมีดังนี้
1. ละลายอัตตา ไม่ใช้อัตตาของตนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช้ความต้องการของตนเองเป็นที่ตั้ง
2. การยอมรับ รู้จักยอมรับในความคิดผู้อื่นบ้าง แม้ว่าเขาจะเรียนน้อยหรือเรียนมากกว่า ถ้าเรายอมรับบ้างก็จะทำให้ทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นสงบลง
แต่โดยมาก มักจะไม่ค่อยยอมรับความแตกต่างของกันและกัน เพราะอัตตาฝังลึก "แบบนี้ไม่ได้.. ต้องทำแบบนี้เพราะเราต้องการแบบนี้"
นี่คือรอยกรรม และผลที่ตามมาก็เป็นความแตกแยก ร้าวลึกๆ ไปเรื่อยๆ ทุกปัญหาเกิดจากการไม่ยอมรับ ถ้ายอมรับทุกอย่างก็จบ
สังคมไทย... แตกแยกแตกร้าว เพราะการไม่ยอมรับกัน ไม่ยอมรับความแตกต่างจึงเกิดความแตกแยก แต่ถ้ารู้จักยอมรับบ้างทุกอย่างก็จะเบาลง เหมือนเราเอาดินน้ำมันใส่มือบีบมากๆ มันก็เล็ดลอดตามช่องนิ้วมือ แต่ถ้าบีบบ้างคลายบ้างมันก็จะไม่รุนแรงมาก
บางคนบอกอยากให้บ้านเมืองมั่นคง ในหลักธรรม ความมั่นคงเที่ยงแท้ไม่มี มีแต่พอมั่นคงได้ตามกาลเวลาและเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดความมั่นคง ตามหลักธรรมแบบผู้มีปัญญาเขาจะไม่ใช้ความรุนแรงที่โง่เขลา แต่เขาจะใช้วิธีการยืดหยุ่น เพราะความยืดหยุ่นนี่แหละคือความมั่นคงอย่างแท้จริง บางช่วงตึงบางช่วงหย่อน ก็พอรอมชอมอยู่ร่วมกันได้ในสังคมนี้