ต่อนี้ก็มาถึงภาคสองในการสังเกตลักษณะเซียนอีก 4 ท่านที่เหลืออยู่
เริ่มกันที่ตะกร้าดอกบานไม่รู้โรยของ “หลันไฉ่เหอ” หลันไฉ่เหอหรือบางทีเรียกน่าไชหัวถือเปนเซียนแห่งบุปผชาติอีกนัยยะหนึ่งคือความอุดมสมบูรณ์
ท่านกำเนิดสมัยราชวงศ์ถังตอนต้น เปนคนรักอิสระชอบท่องเที่ยวเรื่อยไป เมื่ออายุได้ 14 ท่านได้ไปรับประทานผลไม้วิเศษเข้า เขาเรียกกันว่าลูกหยุดเวลา ทำให้หน้าตาผิวพรรณท่านผู้รับประทานคงความเยาว์วัยอยู่แบบนั้นตลอดกาล ผู้คนแก่ๆบอกลูกหลานว่าเห็นท่านหลันมาตั้งแต่ตัวคนเห็นยังเด็กบัดนี้แก่เฒ่าหัวหงอกแล้วท่านยังหน้าตาท่าทางเหมือนเดิมมิได้แก่ชราลง
น่าไชหัวชอบใส่เสื้อผ้าขาด รองเท้าข้างเดียว ถือกรับหยกขับเสภาเที่ยวร้องเพลงสุภาษิตคำคมเตือนใจคนไปทั่ว การณ์อันวณิพกขอทานเรื่อยไปของท่านนี้พอได้เงินเข้าก็เอามาร้อยเป็นพวงลากไป เชือกขาดเงินหลุดหายก็ไม่นำพาปล่อยให้เด็กๆวิ่งตามตะครุบไว้ใช้ เงินเหลือกินนำไปแจกจ่ายคนจน หน้าร้อนใส่เสื้อหนาเตอะ หน้าหนาวใส่เสื้อตัวเดียวนอนบนหิมะ แต่ว่ากลับชอบของสวยงามอย่างตะกร้าดอกไม้ นับได้ว่าเปนผู้ประพฤฒิตนมีรหัสนัย_ชอบกลอยู่
ศิลปินสร้างรูปท่านเปนคนเอวบางร่างน้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านหยุดเวลาชะลออายุไว้ที่เลข 14 ดังกล่าว ยุคหนึ่งเวลาสร้างภาพยนต์ยุคที่เริ่มมีฟิล์ม ก็นำนักแสดงหญิงมาสวมบทท่านเพื่อจะได้รูปร่างที่เอวบางร่างน้อย ทำให้คนดูนึกไปว่าท่านเซียนผู้นี้เปนสตรี แท้แล้วท่านกำเนิดเปนบุรุษเพศ
ต่อมาท่านทิก้วยลี้และอาจารย์ใหญ่ฮั่นเจงหลีเล็งญาณมาเห็นว่าท่านเปนผู้มีบุญญาน่าจะได้เปนเซียนต่อไป เลยปลอมตัวมาชวนกินเหล้าอย่างว่าลองใจ เพราะภาษิตว่า ‘ในเมรัย ย่อมรู้ ความจริง’ พอเมาได้ที่ก็ท้าทายกันกระโดดน้ำ ท่านน่าไชหัวว่าไม่กลัวๆ โดดสะพานลงน้ำเชี่ยวทันที ทันใดนั้นก็เกิดมากองสวะผุดขึ้นมารับร่างท่านไว้ ไม่จมน้ำ ประดารุ่นพี่เห็นปรากฏการณ์ไม่ธรรมดานี้แล้ว จึงทอดเวลาสักพักแล้วมาชวนไปบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเปนเซียน ท่านเอากรับที่ใช้ร้องรำทำเพลงโยนขึ้นฟ้ากลายเปนนกกระเรียนขี่ตามเซียนรุ่นพี่ไป
ท่านเปนบุคคลาธิษฐาน ฝ่ายความไม่ยี่หระต่อสิ่งรอบกาย การหมุนเวียน และขับเคลื่อน
ถัดมา ท่านที่ถือกระบอกไผ่เครื่องดนตรี มีชื่อว่า เจียงกั๋วเล้า
ท่านผู้นี้ก็เปนอีกคนที่นับว่าเปนผู้เอาชนะความแก่ได้ ก็อย่างว่าล่ะครับความ immortal ก็ต้องเอาชนะให้ได้อย่างนี้ แต่เริ่มเดิมทีนั้นท่านเจียงเสวยชาติเปนค้างคาวเผือกจำศีลบำเพ็ญเพียรภาวนา ยังชีพโดยการกินแสงเดือนแสงตะวันเปนอาหาร ต่อมาเสวยชาติเปนนักพรต ไปไหนมาไหนขี่ลาเผือกกลับหลังโดยหันหน้าไปทางหางลา
อันว่าลาของเจียงกั๋วเล้านี้ก็เปนลาเสก ยามไม่ใช้เก็บพับได้ดังกระดาษ เมื่อจะขี่ก็เอาน้ำพ่นกลับเปนลาตัวเป็นๆ ดังเดิม
ท่านเปนบุคคลาธิษฐานของ เมตตามหานิยมด้วย เจียงกั๋วเล้านี้ท่านแม้จะมีอายุมากกว่าร้อยปีแล้วแต่ก็ยังดูหนุ่มแน่นเมื่อพระนางบูเช็กเทียนทรงทราบ จึงทรงให้นางข้าหลวงไปเชิญท่านเข้าวัง แต่ท่านไม่ไปแกล้งทำเปนลมชักสลบไป มีหนอนขึ้นตาม จมูก ปาก และหู การณ์อันนี้ก็ทำให้ทุกคนเชื่อว่าท่านตายไปแล้ว แต่ทว่าต่อมาศพของท่านก็ได้สูญหายไป จนกระทั่งในสมัยของพระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ เกิดมีผู้พบเห็นท่านอีกโดยร่ำลือถึงบุรุษพิสดารขี่ลากลับหลัง ฮ่องเต้ได้ทรงให้มหาดเล็กข้าหลวงไปเชิญท่านเข้าเฝ้า ท่านก็แกล้งทำเป็นตายอีก พวกข้าหลวงได้พร่ำอ้อนวอนจนท่านใจอ่อน จึงยอมฟื้นขึ้นและยอมเข้าวัง
พระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ให้การต้อนรับเปนอย่างดี ต่อมาท่านเบื่อหน่ายที่จะอยู่ในรั้วราชวัง จึงทูลพระเจ้าเม่งจงขอกลับไปอยู่ตามป่าเขา ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตและพระราชทานสิ่งของและจัดรถลากให้ โดยมีคนลากคนหนึ่งและคนเข็นหลังรถอีกคนหนึ่ง เมื่อเดินทางถึงเมืองเฮงจิว ท่านเจียงก็ให้คนทั้งสองกลับไปแต่ คนลากคือ หลีแซ เกิดไม่ยอมกลับ ด้วยมีความเลื่อมใสในตัวของท่าน จึงขอเป็นศิษย์ติดตามรับใช้ ถือศีลกินเจ เรียนมนต์คาถาและศึกษาธรรมจากท่าน
วันหนึ่งหลีแซได้มากราบทูลพระเจ้าเม่งจงว่าท่านเจียงเปนไข้ป่าตายเสียแล้ว จึงมีพระราชโองการมาณพระบัณฑูรสุรสีหนาท รับสั่งให้จัดโลงศพทองคำพร้อมกับทำฮวงซุ้ยบรรจุศพอย่างดี แต่พอถึงสเตปสุดท้ายจักทำพิธีบรรจุลงหลุม ต้องเปิดโลงศพออกเพื่อดูตำแหน่งท่านอน กลับไม่พบศพใดๆ ในความว่างเปล่านั้นมีแต่กระดาษเขียนทูลลาว่าต้องไปเปนเซียน องค์ที่สี่
ถัดมาท่านที่ถือขลุ่ย คือ หันเซียงจื่อ เสียงอันไพเราะของขลุ่ยวิเศษหันเซียงจื่อ ไม่เพียงแต่บรรเลงด้วยท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะหู แต่ยังสามารถสะกดจิตวิญญาณของผู้ฟังให้ชะงักจังงังได้ทันที
เมื่อยังเยาว์ท่านกำพร้าพ่อแม่มาอยู่กับเจ้าคุณหันอวี้ ผู้เปนอาซึ่งเปนขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ท่านมีนิสัยรักสันโดษ ชอบปลีกวิเวก นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร ไม่ยินดียินร้ายกับตำแหน่งหน้าที่ราชการอย่างคนอื่นในตระกูล วันหนึ่งท่านลื่อตงปินมาโปรดจนบำเพ็ญได้สำเร็จเปนเซียน
อยู่มาพระเจ้าเต็กจงฮ่องเต้ให้เจ้าคุณอาของท่านทำพิธีขอฝน รับสั่งว่า ถ้าฝนไม่ตกภายในเจ็ดวัน ก็จะถอดถอนออกจากตำแหน่ง แต่ถ้าฝนตกก็จะเลื่อนตำแหน่งให้เปนมหาเสนาบดี ฝ่ายเจ้าคุณอาได้ทำพิธีอยู่หกวันฝนก็ไม่ตก ท่านจึงปลอม
ตัวเปนฤาษีโยคีไพรมาช่วย โดยอาให้สัญญาว่าถ้าทำให้ฝนตกได้จะยกทรัพย์สมบัติให้ทั้งหมด อาก็โอเคด้วย
ท่านในรูปโยคีพรตจึงได้นั่งบริกรรมภาวนาขอฝนจนกระทั่งฝนตกใหญ่สามวันสามคืน แต่สุดท้ายอากลับไม่ยอมยกทรัพย์สินให้ตามที่สัญญาท่านจึงคืนร่างจากกลับเปนเซียนและบอกกับอาว่าตนไม่ต้องการทรัพย์สินใดๆ เพียงแต่จะลองใจดูเท่านั้น
ต่อมาอาถูกถอดยศและริบทรัพย์สิน โปรดเกล้าฯให้ราชมัลสักหน้าเนรเทศให้ไปอยู่ชายแดน อดีตเจ้าคุณอาผู้ตกอับหลบไปอยู่ที่แห่งใดก็ไม่มีใครต้อนรับ มีแต่ความลำบากหิวโหย ท่านจึงบอกให้อาไปบำเพ็ญพรตถือศีล ส่วนท่านได้ไปอยู่ยังสำนักท่านหลีเล่ากุนอาจารย์ใหญ่รับหน้าที่เปนเชียนองค์ที่เจ็ด
ท่านเปนบุคคลาธิษฐาน ของงานศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์
ท่านสุดท้ายคือ ท่านฮั่นเจ็งหลี เกิดเมื่อประมาณที่ปี พ.ศ. 340 ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เปนบุตรของเจ้าเมืองหุนตัง เดิมมีชื่อว่า เจ็งหลีกิ๊ก
ต่อมาได้เปนแม่ทัพของกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น ได้ยกทัพไปรบกับ ปุดตู้ แม่ทัพเผ่าฮวน และได้ฆ่าฟันข้าศึกล้มตายเปนจำนวนมาก หลีทิก๊วยเชียนองค์ที่หนึ่งเล็งด้วยญาณรู้ว่า เจ็งหลีกั้กเดิมเปนเทวดารักษาหอสมุดบนสวรรค์ แต่ได้ทำความผิดฐานทำหนังสือประวัติโหงวแป๊ะเชียน (เชียนห้าร้อยองค์) หาย จึงถูกลงโทษให้มาเกิดบน โลกมนุษย์ ท่านทิก๊วยลี้จึงคิดช่วยเจ็งหลีกั๊กให้ได้กลับเปนเซียน จึงแนะอุบายให้ปุดยู้แม่ทัพฮวนใช้ทหารหญิงปลอมตัวไปส่งเสบียงให้ทหารของเจ็งหลีกั๊ก ทหารหญิงพวกนี้ได้มอมสุราทหารเจ็งหลีกั้กจนเมามาย แล้วส่งข่าวให้ศัตรูยกทัพเข้าตีทัพเจ็งหลีกั้กจนแตกพ่าย งานนี้เจ็งหลีกั้กหนีรอดไปได้ และได้พบกับอาจารย์ตังหัวจินหยินอาจารย์ตังหัวจินหยินได้สอนธรรมะรวมทั้งสอนวิธีใช้ไฟธาตุในร่างกายหลอมสิ่งของต่างๆ ให้กลายเปนทองและให้กั้นหยั่น (กระบี่สั้น) วิเศษแก่เจ็งหลีกั๊ก ต่อมาเจ็งหลีกิ๊กได้ลาอาจารย์เดินทางกลับบ้าน อาจารย์ตังหัวจินหยินได้บอกกับเจ็งหลีกั๊กว่าวันหนึ่งจะกลับไปเปนศิษย์ ท่านก็งงๆอยู่
เมื่อถึงบ้านได้พบกับพี่ชายเจ็งหลีกั้ก จึงชวนพี่ชายออกบำเพ็ญตบะ ได้ช่วยชาวบ้านฆ่าเสือร้ายและหลอมก้อนกรวดให้เปนทองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน ต่อมาวันหนึ่งหลีทิก๊วยได้มารับท่านไปเปนเซียนองค์ที่สองของสำนักหลีเล่ากุน และให้ชื่อใหม่ว่า ฮั่นเจ็งหลี
เซียนฮั่นเจ็งหลีได้นำมนต์ใช้ไฟธาตุในตัวและกั้นหยั่นวิเศษมอบให้กับคนกลาง เพื่อฝากคืนให้แก่อาจารย์ตังหัวจินหยินผู้ที่พูดปริศนาว่าจะกลับมาเปนศิษย์ ซึ่งว่ากันว่าแท้แล้วอาจารย์ตงหัวจินหยินก็คืออดีตชาติของท่านเซียนเจียงกั๊วเล้านั่นเอง ซึ่งได้เรียนวิชาเซียนจากท่านในภาคสุดท้าย
วันนึงเซียนฮั่นเจ็งหลีได้เดินทางไปพบหญิงสาวนั่งเอาใบกล้วยทำพัดพัดดินหลุมศพร้องไห้อยู่ ฟ้องท่านว่า ผัวตายสั่งไว้ว่ารอดินหลุมศพแห้งก่อนค่อยมีผัวใหม่ แต่ตอนนี้ตนเองเจอคนที่ชอบพอแล้ว อยากให้ดินแห้งไวๆ ท่านฮั่นเจ็งหลีคว้าได้พัดก็เอาปักลงไปบนหลุมศพ ดินปากหลุมก็แห้งผากลงทันที
พัดวิเศษใบกล้วยอันนี้ศิลปินจึงมีความยินดีสร้างรูปไว้ที่องค์ท่านซึ่งเปนบุคคลาธิษฐานของ ความอาจหาญอีกโสตหนึ่งด้วย
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 หน้า 18 ฉบับที่ 3,855 วันที่ 22 - 25 มกราคม พ.ศ. 2566