เว็บไซต์ Brand Buffet พูดถึงชะตาของวงการสื่อเมื่อปี 2562 ว่า “ผู้บริโภคทุกวัยไม่มี Loyalty อย่าหวังว่าใครจะภักดีกับทุกสื่อ” ผมไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรกับ “เนื้อหาฆ่าความใฝ่ฝัน” ที่ปรากฏอยู่ในประโยคนี้ เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย บ้านผมซื้อ น.ส.พ. อ่านวันละหลายฉบับ สมมุติว่า ถ้าวันใด ตู้ห่าว วิ่งหนีตำรวจเข้ามาในบ้าน ผมจะรีบเผ่นออกทางหลังบ้านทันที รับประกันได้เลยว่าจะไม่คว้า น.ส.พ. ฉบับใดหนีบติดรักแร้ไปด้วยแม้แต่ฉบับเดียว (ฮา)
กินครัวซองเชื่อได้เลยว่า จะให้คนรักกันมีอารมณ์ภักดีอยู่กับเรานานๆ เลิกหวังได้แล้ว ผมบอกลูกศิษย์ไว้ว่า “อย่าไปสนใจว่าเขาจะอยู่กับเราสักกี่ปี ขอแค่เวลาที่อยู่ด้วยกันทำตัวดีๆ อย่าให้มีปัญหา เป็นอันว่าใช้ได้”
มีเยอะไปที่คนดีแต่งงานกับคนดี แล้วมาแยกทางกัน ครั้นเมื่อกระแสชีวิตมันพลิกผัน ทั้งคู่ก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ที่เขาหวนกลับมาใช่ว่าจะภักดี เขามาเพราะเรามีดี เรารับเขาไว้เพราะเขาก็มีดี เพราะเหตุนี้จึงยังไปด้วยกันได้ คำถามจึงมีอยู่ว่า ไม่ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนไปกี่ พ.ศ. แต่ละ พ.ศ. เรายังมีดีพอที่จะดึงดูดคนดีมาหาเราหรือเปล่า
มีร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่ง คนสงสัยว่า ทำไมร้านกาแฟร้านนั้นคนนั่งกันเต็มร้านทุกวัน ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองแวะเข้าไปดูก็จะรู้ว่า ร้านนั้นเขาทำครัวซองขายเอง ร้านนั้นไม่ได้ยึดติดว่า ครัวซอง คือ ครัวซอง เขากล้าวัดดวงทำ ครัวซองสอดไส้ปูผัดผงกะหรี่! ครัวซองสอดไส้กุ้งผัดกระเพรา! ครัวซองสอดไส้ปลาแซลมอน!
มันไม่ได้อร่อยแค่นั้นนะ โทษฐานที่ราคากาแฟกับครัวซองสอดไส้สูงกว่าเจ้าอื่น ลูกค้าที่แวะมาลิ้มรสชาติแต่ละรอบจะมีสิทธิจับฉลากชิงเงินสด ซองละ 500 บาท มอบให้เป็น เบี้ยชูชีพ! รอบละ 3 ซอง เขาจัดระเบียบให้บริการกันเต็มที่วันละ 8 รอบ รอบละ 1 ชั่วโมง 30 นาที เปิดร้าน 08.30 จนถึง 20.30 น. ลูกค้าท่านใดถูกอกถูกใจจะสั่งใหม่อีกชุด เพื่อนั่งลุ้นอีกรอบก็ยินดีต้อนรับ ในบริเวณที่ตั้งของ น.ส.พ. ควรจะมีร้านกาแฟเป็นของตัวเอง ที่กล้าเชียร์เพราะทบทวนดูแล้วว่า ร้านกาแฟ ไม่มีชื่อโชว์อยู่ในรายการ ธุรกิจดาวร่วง
ทำไมบรรดา โรงเรียนเอกชน ร้านฟอกย้อม ศูนย์เครื่องปั้นดินเผาและเซรามิก ร้านถ่ายรูป ร้านโชห่วย ร้านหัตถกรรม ศูนย์ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป (เสื้อผ้าโหล) ถึงได้อาภัพ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เขาลากชื่อไปแปะไว้ในรายการ ธุรกิจดาวร่วง อยู่ได้
น่าจะจัดตั้ง ร้านกาแฟ อย่าลืม ครัวซองไส้ฮังเล ครัวซองไส้อั่ว ครัวซองไส้ลาบครัวซองไส้สะตอทรงเครื่อง ไปชวนเด็กหิวแสงมาร้องเพลงโชว์ให้ลูกค้าฟัง ประชันกันวันละ 2 โรงเรียน ถ้ายังไม่มีเงินทุนก็เปิดทางให้เขามาใช้พื้นที่ฟรี เราเอาผลพลอยได้ตรงที่มีคนมาเชียร์แล้วแวะซดกาแฟแอ้มครัวซองค่อยขยับไปทีละก้าว ให้มันรู้กันไปว่าดิ้นรนแล้วยังจะตายคารัง
Darryl F. Zanuck ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์คนสำคัญท่านบอกฝากความคิดเห็นไว้ว่า “ถ้าผู้ชายสองคน ทำงานเดียวกันเห็นด้วยต่อกันตลอดเวลา ต้องมีอยู่คนหนึ่งที่ไร้ประโยชน์ ถ้าพวกเขาขัดแย้งกันตลอดเวลา ทั้งคู่ก็ไร้ประโยชน์” ผมจึงไม่หนักใจอะไร ถ้าหากมีผู้ใดเห็นต่างไปจากที่ผมมีจินตนาการ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ผลงานของผู้คนในโลกนี้ล้วนเริ่มต้นมาจากความฝัน ผิดบ้างถูกบ้างจะบ่นกันไปทำไม
คนหลายคนได้ผลตอบแทนเกินฝันจนหัวใจแทบหลุด เพราะกลัวว่าเอาเงินฝากธนาคาร ถ้ามีมารมาแอบดูดหมดบัญชีธนาคาร จะใจดีเติมเงินให้เต็มจำนวนหรือเปล่า (ฮา) มันก็ทุกข์พอๆ กับคนหลายคนที่ ขาดทุนเอ๊า ขาดทุนเอา เพราะฝันไว้ไม่ตรงปก นักการตลาดก็เมาธ์กันมาหลายปีดีดัก ทักกันให้ว่อนว่า ภายในปีสองปีคนก็จะดูทีวีน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
เอาเข้าจริงกลายเป็นทำปกไม่ตรงฝัน เพราะว่า “สังคมสูงวัย” ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว กลายเป็น ว่า คนไทย 50% จะดู “ทีวี” กันอยู่อีกพอสมควร “ผู้มีอายุยืน” ท่านไม่ได้ภักดี แต่ท่านก็ยินดีที่จะตามดูรายการดีๆ บนจอที่กว้างใหญ่กว่าจอโทรศัพท์มือถือ
โรงเรียนเอกชน ได้เวลาขนเอา สิ่งที่ นักศึกษา และ ผู้ปกครอง รวมทั้ง ผู้คนที่มีกำลังซื้อ เข้าไปใช้ คือ ทั้งขายและทั้งใช้ ประกอบการสอนในสถาบัน ขายให้มันโปร่งใส ใช้ให้ลูกศิษย์เห็นคุณค่า อย่างเช่น การสอนในบางวิชาให้นัดยกโขยงกันไปนั่งเสวนาเชิงประจักษ์กันในห้องกาแฟ
การศึกษาบางวิชาจัดสร้างอาคารเป็นร้านค้าแล้วให้ครูพี่เลี้ยงกับนักศึกษาเป็นคนจัดการทำนองเดียวกับ บริษัท จำลอง ม.หอการค้า เครื่องมือ วัตถุดิบ สินค้าที่สอดคล้องกับหัวข้อวิชา ครูพี่เลี้ยง ต้องบริหารจัดการคล้ายกับ ม.ราชภัฏสวนดุสิต เรียนจบก็มีนายจ้างมารอคิวจองตัวไปทำงาน ถ้าพลิกฝันให้ทะยานไกลได้อย่างว่า ประเดี๋ยวก็จะมีคนแห่กันมาเรียนกับเรา
ปรมาจารย์ ขงจื๊อ สอนเมื่อ 551 - 479 ปี ก่อนปีคริสตกาลว่า หากเจ้าจะปลูกข้าว จงวางแผนไว้ 1 ปี หากเจ้าจะปลูกต้นไม้ จงวางแผนไว้ 10 ปี หากเจ้าจะให้ความรู้แก่บุตรหลาน จงวางแผนไว้ 100 ปี
โรงเรียนต้องดิ้นรนลุกขึ้นสู้ โรงเรียนไม่อยู่สังคมไม่รู้วิชา จะเอาเมืองไปฝากไว้กับใคร ภรรยาเรียนจบ ป.ตรี ถามสามี จบ ป.6 เปิดร้านขายของชำว่า ว่า “ช่วงนี้พี่มีกำลังซื้อไหมคะ” สามีตอบอึกๆ อักๆ ว่า “กำลังที่จะเดินไปซื้อก็พอจะมี แต่เงินมันไม่ค่อยมีนะเธอ” (ฮา)