อัยการเรียกหญิงวัยย่าขึ้นมาเป็นพยานปากเอก เขาถามเธอว่า “คุณย่าเฮี้ยนรู้จักผมไหม?” คุณย่าเฮี้ยนตอบว่า “ทำไมจะไม่รู้ คุณชื่อ ย่องตอด คุณโกหกเก่ง นอกใจภรรยา คุณไหว้วานคนอื่นแล้วนินทาเขาลับหลัง คุณไม่มีสมองที่จะตระหนักว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าแมงตด” (ฮา)
อัยการตะลึงคล้ายคนอกหัก พอตั้งสติได้แล้วก็ถามว่า “คุณย่าเฮี้ยนรู้จักทนายจำเลยหรือเปล่า?” คุณย่าเฮี้ยนตอบว่า “ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ย่าเคยไกวเปลให้ เขาขี้เกียจ ดื่มจัด เพื่อนบ้านไม่มีใครคุยด้วย” (ฮา)
ผู้พิพากษาเรียกที่ปรึกษาทั้งสองมาที่หน้าบัลลังก์ ท่านพูดกับอัยการและทนายด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ถ้าใครถาม ย่าเฮี้ยน ว่า ย่าเฮี้ยนรู้จักผมหรือไม่ ผมจะสั่งขังโทษฐานสมคบกันดูหมิ่น!” (ฮา)
อ่านมุก เว็บไซต์ UPJOKE แล้วได้แง่คิดว่า “อกหัก!” ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดจาก “รักคุด!” อะไรก็ได้ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังย่อมส่งผลให้ใจร้าวรานได้ใกล้เคียงกัน แม่อุ้มลูกคนที่สอง เพราะว่าเขายังไม่แข็งแรงพอทำให้ลูกคนแรกน้อยใจจึงเริ่มมีอาการงอน จะบอกว่าแม่ผิดก็ไม่ใช่
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้มันเกิดขึ้นเพราะ “ทำดีไม่ถึงดี” คือ “ทำดีไม่ครบห้าดาว” ถ้าแม่จัดหากิจกรรมทางเลือกอื่นใดให้ลูกคนแรกได้เล่นแก้เหงามันก็จะ สมูทเอนดิ้ง หมายถึง จบแบบเนียนๆ ยิ้มกันทั่วหน้า อย่างน้อยที่สุด เมื่อกล่อมให้ลูกคนเล็กหลับแล้วก็รีบกลับมาดูหนัง หรือ เล่นเกมกับลูกคนแรก ถ้าเขาง่วง ก็อุ้มเอาใจพาไปนอนเปลญวนแกว่งให้เพลินใจ ก็จะลดช่องว่างได้บ้าง
เคยคุยเรื่องนี้กับคุณแม่บางคน ท่านก็ตัดพ้อว่า “คุณน่ะพูดง่าย แต่ฉันน่ะเอาใจมันยาก อุตส่าห์แกว่งเปลให้เคลิบเคลิ้มอย่างที่คุณว่า ลูกมันบอกว่า มันนอนไม่หลับเพราะแกว่งแล้วเวียนหัว โคลงเคลงพลิกไปพลิกมา ถ้าฉันไม่แกว่ง มันคงจะหลับไปนานแล้ว!” (ฮา)
หน่วยงานของรัฐที่มีวิญญาณสร้างสรรค์ขยันเกินเงินเดือนเขาดำริชอบที่จะเอา 800 แบรนด์ มาทำการคัดเลือกดูว่า สินค้าแบรนด์ใดที่เข้าขั้นยืนหนึ่ง คัดไปคัดมาปรากฏว่า มีแบรนด์ที่เข้าเกณฑ์ 77 แบรนด์ เขาช่วยโปรโมทเพิ่มด้วยการเอา 77แบรนด์ ที่คัดกรองไว้มาออกงาน เพื่อจะเอาดาวเด่นไปโชว์ตัวยั่วเป๋าตังค์ให้มาอุดหนุน สินค้า 4 กลุ่ม ได้แก่ “กินดี” คือ อาหารและเครื่องดื่ม “อยู่ดี” คือ ของที่ระลึก “สวยดี” คือ เครื่องประทินผิว ผลิตภัณฑ์สปาและสมุนไพร “ดูดี” คือ เสื้อผ้า แฟชั่น เครื่องประดับ
อันว่า กษายยา หรือ กระสายยา หมายถึง เครื่องแทรกยา เช่น น้ำ หรือ เหล้าขาว ยกตัวอย่างสินค้ามาเป็นกระสายยา ก็เพื่อให้ประเด็นไหลลื่นสามารถนึกภาพของแต่ละกลุ่มออกว่าโฉมผลิตภัณฑ์มันไปในแนวไหน
“กินดี” ข้าวหอมมะลิออร์แกนิค (สุมิตรา) กุนเชียงปลายี่สก (เต่งโปรดักส์) หมี่เตี๊ยว (หงส์) เครื่องแกงปักษ์ใต้ (แม่พร) ขนมจีนแห้งผสมสมุนไพร (ป้าเพ็ญศรี) น้ำผึ้งเกสรผึ้ง (ฟาร์มผึ้งเทพภักดี)
“อยู่ดี” ไฟแช็ค หุ้มด้วยแผ่นดีบุก ลวดลาย หนุมาน มวยไทย หรือ โคมไฟหุ้มด้วยรังไหมประดิษฐ์ สว่างไสวคล้ายเครื่องประดับ เหมาะสำหรับหลอดไฟกลม LED ขนาด 95 และ 120
“สวยดี” สมุนไพรสร้างเส้นผม (CHEVEOX) น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Maliispa)
“ดูดี” กระเป๋าผ้าทอมือ (ดลมณี) กระเป๋าถือ สานลายด้วยเส้นพลาสติก (นงลักษณ์) ที่ผมเป็นห่วงก็คงจะเป็น 800 แบรนด์ - 77 แบรนด์ (ยืนหนึ่ง) = 723 แบรนด์ (อกหัก)
ผมบอกด้วยความจริงใจว่า ผมไม่มีความเห็นใดใดที่จะตำหนิติเตียนหน่วยงานของรัฐที่ได้ดำเนินงานเรื่องนี้ไว้อย่างนี้ เพราะ กระบวนการ คัดไว้ กับ คัดออก เป็น หลักการมาตรฐานโลก ใช้เป็นแนวทางกันทุกหย่อมหญ้า
ผมรู้ว่าจัดงานช่วยผู้ประกอบการแบบนี้ไม่มีการคิดค่าบู้ธกันซะด้วยซ้ำ ต้องใช้เงินเยอะ คราวหน้าถ้าทำกันใหม่ขอให้รัฐบาลผันงบมาประคอง 723 แบรนด์ (อกหัก) สักหน่อย จะดียิ่งนัก ถ้าผมมีส่วนร่วมอยู่กับหน่วยงานนี้ ผมจะเข้าไปกราบเท้าผู้หลักผู้ใหญ่ขอคำชี้แนะว่า สามารถจะเพิ่มอีกสัก 2 กลุ่ม จะเป็นไปได้ไหม
กลุ่ม 5 ประหยัดดี หรือ ถูกดี ไม่สวย ไม่แปลก แต่ ไม่แพง
กลุ่ม 6 โชคดี คือ ให้เข้าร่วมแสดงสินค้าโดยมีข้อแม้ว่า ก่อนที่ลูกค้าจะซื้อ หรือ ก่อนจะผละออกไป ผู้จัดงานจะประกาศเชิญชวนให้ลูกค้าร่วมกันคอมเมนต์สินค้า แต่ละบู้ธให้หน่อยว่าเขาควรจะปรับปรุงอะไรให้ดีกว่านี้อีกบ้าง
ผมว่าต้องเกิดการซื้อขายกันสนุกแน่นอน เพราะว่า เรื่องวิจารณ์คนอื่นเป็นอัธยาศัยของสังคมไทยโดยแน่แท้ (ฮา) ผู้จัดงานคงจะต้องขอกำลังตำรวจและทหารมาดูแลความสงบ ไม่งั้นจะได้ชม “มวยคาดไม่ถึง!” ตื่นเต้นยิ่งกว่า “มวยคาดเชือก” แน่นวล (ฮา)
สตีฟมาราโบลี พูดปฏิรูปจิตว่า “ถ้าคุณอยู่กับไก่ คุณจะส่งเสียงร้อง และ ถ้าคุณอยู่กับนกอินทรี คุณจะบินได้” ไคล์ แชนด์เลอร์ พูดปฏิวัติใจว่า “โอกาสไม่เคยมาเคาะประตู แต่มันจะปรากฏขึ้นเองเมื่อคุณพังประตูเข้าไป” ถ้าแบรนด์ใดใน 723 แบรนด์ (อกหัก) เข้าใจแง่คิดของสองท่านนี้มีโอกาสยืนหนึ่งได้ชัวร์