ศาสนาพุทธในประเทศไทย นับวันยิ่งเพี้ยนกลายเป็นไสยศาสตร์เสียหมด งานกฐินทั้งหลาย เป็นพุทธานุญาตในเรื่องผ้าจีวร แต่ยุคนี้ กลายเป็นเรื่องเงิน อวดบารมีกัน ใครเป็นประธานได้กี่ล้านกี่แสน ได้ยินได้ฟังแล้วเจ็บปวด กลายเป็นจำอวดนับถือพุทธ
พุทธศาสนากลายเป็นไสยศาสตร์ เพราะคนต้องการความสำเร็จแบบเร่งด่วน เลยต้องจุดธูปไหว้วอนไป ด้านปัญญาก็ไม่เน้นไม่สอนให้เข้าใจ ธรรมะความจริงแล้วมีไว้สำหรับการแก้ไขชีวิตที่เป็นทุกข์ ให้เข้าใจเข้าถึงและพัฒนาภูมิจิตขึ้นไปเรื่อยๆ
มนุษย์ถึงคนถ้ามีปัญหาชีวิต แล้วแก้ไขด้วยไสยศาสตร์ไม่มีวันจบปัญหาอย่างแน่นอน แต่ถ้าแก้ไขด้วยปัญญาทุกปัญหาจะเข้าอย่างยิ่ง
สมมุติ นายเอกับนายบีวิวาทกัน ถ้าเอาพุทธศาสตร์มาจับจะสามารถเห็นคำตอบได้หลายมิติ อาทิ เอาด้านกรรมมาจับเหตุการณ์นี้ก็จะเข้าใจได้ว่า เป็นเพราะกรรมเก่าที่เขาเคยร่วมทำกันมา ถ้าเอาความจริงในปัจจุบันมาจับอาจบอกได้ว่า ไอ้เซ่อกับไอ้โลภทะเลาะกันเพราะผลประโยชน์
ถ้าเอาโหราศาสตร์มาจับจะได้คำตอบว่านายเอกับนายบีดวงเบียดเบียนกันไม่ถูกกัน
หนึ่งเรื่องราวที่มองว่าเป็นปัญหาอยู่ที่เราจะเอาหลักการอะไรมาจับเพื่อหาผลลัพธ์และต้นเหตุ ใครที่เกิดปัญหาชีวิตแล้วอะไรๆก็เอาแต่ใช้ไสยศาสตร์กราบไหว้แบบหน้ามืดตามัว ในทางพุทธแท้ๆ เรียกว่า "ขาดปัญญา" เวลาที่ผมได้รับเชิญไปบรรยายที่ไหนผมพูดเสมอว่า
"ปัญหาไม่มีจริงแต่ที่เกิดแล้วรู้สึกว่าเป็นปัญหาก็เพราะปัญญาเราน้อย"
สมมุติ มีบางเรื่องเกิดขึ้นกับเรา แล้วเราเข้าใจและเห็นวิธีแก้ไข เมื่อแก้ไขแล้วก็ดีขึ้นเป็นลำดับ นี่เราแก้ได้เพราะเรามีสติปัญญา แต่ถ้าเราแก้ไม่ได้แสดงว่า ความรู้ศักยภาพเราไม่ถึงแล้ว จึงกลายเป็นปัญหา
เมื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นพยายามให้หลายๆหลักการของศาสตร์ความรู้เข้าไปจับเราจะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างหลายมิติมากขึ้น
เคยไปกราบท่านพุทธทาส ครั้งแรกท่านถามว่า มาที่นี่ทำไม... (หมายถึงสวนโมกข์) ผมตอบทันควันว่า
"มาเพื่อเพาะเชื้อทางปัญญา"
ท่านขำในลำคอเบาๆ แล้วยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ราวกับเข้าใจในความคิดผมแล้วท่านปรารภว่า...
"สังขธรรม อสังขธรรม"
ความหมายคือ เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนั้นจึงมี เพราะไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้จึงไม่มี
นี่แหละ คือ พุทธปัญญาโดยแท้สำหรับการแก้ปัญหาแบบชาวพุทธ