หลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา
ท่านเป็นเด็กขอทาน กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ อาจเคยทำกรรมพรากชีวิตสัตว์ไว้ จึงต้องเป็นกำพร้าตั้งแต่เด็ก
หลวงพ่อพุธ เกิดเมื่อวันที่ 8 ก.พ.2465 เป็นบุตรคนเดียวของครอบครัวชาวนาที่หมู่บ้านชนบท ต.หนองหญ้าเช้ง อ.หนองโดน จ.สระบุรี ครั้นอายุได้ 4 ขวบ ท่านก็ต้องกลายเป็นลูกกำพร้าด้วยบิดาถึงแก่กรรม และมารดาก็เสียสตินับตั้งแต่ให้กำเนิดท่าน
ชีวิตในวัยเด็กของหลวงพ่อพุธ ต้องเผชิญความลำบากยิ่งนัก ท่านว่า
“เริ่มรู้สึกสำนึกตั้งแต่รู้เดียงสาว่า ชีวิตมันทุกข์ทรมาน มันเคียดแค้นความจน ความไร้พ่อแม่ จึงตั้งปณิธานว่า ขึ้นชื่อว่าทายาททุกข์จะไม่ให้มี”
เมื่ออายุ 15 ปี ปณิธานจึงเป็นจริง เมื่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร กระทั่งมีอายุครบบวช สามเณรพุธจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดปทุมวนาราม
อุปสมบทได้เพียงพรรษาที่ 3 ท่านก็ต้องเผชิญกับอาการอาพาธอย่างหนักด้วยวัณโรค ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวัณโรคหนักจนหมอไม่รับรักษาเลยทีเดียว
ครั้งนั้นเอง หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดบูรพา และได้สอนให้หลวงพ่อพุธตั้งใจภาวนา เพ่งอาการ 32 เพื่อดูทุกข์ให้รู้ความจริง
หลวงปู่ฝั้น สอนว่า
“ทุกข์มันปรากฏแก่เธออยู่ทุกลมหายใจ เธอไม่ต้องไปคิด พิจารณาอะไรมันหรอก ให้กำหนดสติ รู้สิ่งที่มันมีอยู่ในกาย ในใจเวลานี้ ปอดของเธอเป็นวัณโรค มันเป็นจุดเกิดของทุกข์ จิตของเธอไปยึดอยู่ที่ปอด เพราะเธอป่วยที่ปอด แต่ความทุกข์มันจะเกิดที่จิต ความเจ็บปวดเกิดที่กาย แต่จิตไปรับรู้มันก็เลยกลายเป็นความปวด ความเจ็บป่วย เพราะฉะนั้นให้ดูสิ่งที่มันมีอยู่ในปัจจุบัน อย่าไปไขว่คว้าอะไร”
ได้ฟังดังนั้น หลวงพ่อพุธ ก็พยายามเร่งฝึกสมาธิหามมืดหามค่ำ ท่านว่าพ่อป่วยเป็นวัณโรคก็ท้อใจ นอนไม่หลับ 7 วัน 7 คืน บางทีก็จะคิดอยากตายท่าเดียว ไปๆ มาๆ จิตมันนึกขึ้นมาว่า ก่อนจะตาย เราควรจะได้รู้ก่อนว่า ความตายมันคืออะไรกันแน่ ก็พยายามเร่งฝึกสมาธิภาวนาลูกเดียว เดินไม่ไหว ก็นอนสมาธิภาวนา จนกระทั่งตัวหาย พอตัวหายบ่อยๆ ใจมันก็ทะนงขึ้นมา โรคภัยไข้เจ็บมาเป็นที่กาย มันไม่ได้เป็นที่ใจ
ภาวนาติดต่อกันเช่นนั้นอยู่ไม่นาน ในที่สุดท่านก็รู้เห็นความตาย ท่านว่า
“ร่างกายเรานี่มันก็คือธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นร่าง เดินเหินไปมาได้ ทำอะไรได้ เมื่อตายลงไปแล้ว ก็กลับไปสู่ที่เก่าของมัน คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขามีที่ไหน”
ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นโลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลกนั้น โลกมีอยู่ 3 โลก
ยมโลก ได้แก่ โลกนรกเป็นต้น มนุษย์โลกได้แก่ แดนมนุษย์
เทวโลกได้แก่ แดนของเทวดา ตั้งแต่สวรรค์ชั้นจาตุมจนถึงพรหมโลก
เมื่อครั้งที่หลวงพ่อพุธ เดินทางจากวัดป่าสาลวัน ไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่พระราชวังไกลกังวลนั้น
ท่านได้ตอบปัญหาธรรม ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถามถึงการทำบุญ ว่า
“การทำบุญ ผลบุญที่ได้อยู่ที่ไหน จะได้อยู่ที่จิตของเรา หรือจะได้อยู่ที่เราจะได้ผลบุญ คนเราส่วนมาก เวลาทำบุญคิดว่าจะได้ผลบุญอย่างนี้ แต่บางทีก็ฟังดูว่า ถ้าทำบุญทำทาน หรือทำอะไรมันก็ได้กุศล ผลมันก็ได้อยู่ที่ใจ เลยทำให้ผลอยู่ที่จิตใจของเรา และก็เป็นการขัดเกลาจิตใจของเรา”
หลวงพ่อพุธ ตอบว่า
“การทำบุญโดยความมุ่งหมาย ที่แท้จริงก็เป็นอุบาย ฝึกฝนอบรมจิตของผู้กระทำนั้น ให้เป็นผู้มีเมตตา อารีอารอบแก่บุคคลอื่น และการทำบุญนั้น เพื่อกำจัดกิเลส เป็นการฝึกฝน อบรมจิตใจให้เกิดมีวิชชากว้างขวาง อารีอารอบ รู้จักเอื้อเฟื้อแก่มนุษย์และสัตว์ แต่สำหรับอุบายโดยตรง ก็เพื่อเป็นการจูงใจ ผู้ที่จะหลงผิดให้ได้ทำบุญ เพื่อผลบุญจะติดตัวไปหลังจากตายแล้ว จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง อันนี้ก็เป็นอุบายเท่านั้น”
หลวงพ่อพุธเดินทางมาอยู่ที่วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ตั้งแต่พรรษาที่ 29 หรือในปี 2513 ตามคำของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร)
และเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวันลำดับที่ 4 ต่อจากพระสุธรรมคณาจารย์ จวบจนท่านละสังขารอย่างสงบในวันที่ 15 พ.ค.2542 สิริรวมอายุ 78 ปี พรรษาที่ 57