คนที่อวดคุย รู้ธรรมะ.. รู้ทุกบทตอน
รู้ทุกวิธีปฏิบัติ ยิ่งพูดเยอะเท่าไหร่
ยิ่งยังไม่ถึงธรรม.. แต่เป็นแค่ผู้รู้ผู้ศึกษาเท่านั้น...
ไม่ต่างอะไรกับคนที่อวดความรู้ ไม่ว่าจะความรู้ทางโลกด้านไหน อวดมากคุยมากเท่ากับแค่รู้
คนที่ชอบอวดรวย.. รวยจริงเขาไม่อวด ไม่พูด คนไหนยิ่งอวด ยิ่งพูด ยิ่งปลอม.. นี่เป็นความจริงของโลกอย่างหนึ่ง
ดังนั้น ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม.. ถ้าเกิดการอวดรู้ อวดเก่ง จงจำไว้ว่าความโดยเนื้อแท้จะอยู่ฝั่งตรงข้ามเสมอ...
ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เคยเขียนโศลกธรรมเอาไว้ว่า
"ของจริงย่อมนิ่งใบ้ ของพูดได้มักไม่จริง"
ธรรมข้อนี้ใช้ได้กับทุกสรรพศาสตร์ ใช้ได้กับทุกเรื่องราวของการใช้ชีวิตเลยทีเดียว...
แต่การอวดรู้ อวดศักยภาพ จะเกิดได้ดีต่อเมื่อเราทำหน้าที่สอน ให้ความรู้อยู่ อันนั้นจึงไม่เข้าข่ายที่เรียกว่า.. "อวด"
ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าโดยสังเกต พระองค์จะไม่ทรงตรัสอะไรขึ้นก่อนลอยๆ พระองค์จะทรงตรัสต่อเมื่อ มีผู้ไปทูลถาม มีผู้อาราธนาขอให้แสดงธรรม พระองค์จึงจะแสดง
พระองค์ยังเคยอุปมาอุปไมยว่า
"น้ำที่เต็มในภาชนะจะไม่เสียงดัง น้ำที่มีเพียงครึ่งภาชนะย่อมเสียงดังเมื่อเคลื่อนย้าย"
ดังนั้น ผู้ที่ราบเรียบมักจะเป็นบุคคลที่เข้าถึงในเรื่องนั้นๆ ศาสตร์นั้นๆ อยู่เสมอ มนุษย์เราการใช้ชีวิตบางครั้งเราอยู่ในสังคมที่กว้าง เจอผู้คนหลากหลาย แน่นอนการพรีเซนต์ของบุคคลแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป
ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็สามารถนำเอามาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ ว่าการที่เราเจอคนในแต่ละรูป แบบคนๆ นั้นเป็นผู้รู้หรือผู้เข้าถึงในสิ่งที่เขานำเสนออยู่
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับด้านปัญญา เพื่อจะนำเอาไปใช้กับชีวิตประจำวัน บางครั้งธรรมะเรียบๆ ง่ายๆ เหมือนหญ้าปากคอกเราอาจจะหลงลืมไป มัวแต่แสวงหาธรรมะขั้นสูงชั้นสูง แต่สุดท้ายเรื่องแค่พื้นฐานเราก็กลับหลงลืม