ความสุข คือ ความจริงที่มนุษย์ปรารถนา

29 พ.ย. 2566 | 21:30 น.

ความสุข คือ ความจริงที่มนุษย์ปรารถนา คอลัมน์ ทำมา ธรรมะ โดย ราชรามัญ

ผมได้มีโอกาส พบกับครูแนน หรือ ครู สุธิดา ใจทัศน์ ผู้ก่อตั้ง เพจห้องเรียนความสุข ผู้มีประสบการณ์สอนสมาธิจิตวิทยาเชิงบวก จิตวิทยาความสุข ที่ปรึกษาพัฒนาประสิทธิภาพชีวิตและการทำงานให้กับองค์กรต่างๆ เช่น 

สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)
King Chulalongkorn Memorial Hospital (โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย)
เมืองไทยประกันชีวิต
Digital Technology Management วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
รายการคนสู้โรค ช่อง thaipbs 

ที่ปรึกษาส่วนตัวด้าน Mindfulness จิตวิทยาความสุขและพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานให้กับบุคคลในสาขาอาชีพด้านต่างๆ เช่น วิศวกร, นักลงทุน, โค้ช ครู อาจารย์, นักวิจัย, นักธุรกิจ, พนักงานบริษัท และนักศึกษา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ​

บ่อยครั้งที่ได้ชมคลิปครูแนน ที่เป็นไวรัล มีการแชร์ในโซเชียลกว่าพันครั้ง ทำให้หัวใจเบ่งบานเพราะครูคนนี้เปี่ยมด้วยคุณธรรมมากกว่าคำว่า ธุรกิจ สมัยเพจห้องเรียนความสุขเพิ่งเปิดมีคนตามแค่หยิบสิบแต่วันนี้คนตามเป็นหมื่นแต่ทว่าเป็นหมื่นคนที่สนใจเรื่องความสุขอย่างแท้จริง...

ไม่ใช่หมื่นคนจากการซื้อโฆษณาทางเฟซบุ๊ก
 

ครูแนน สุธิดา ใจทัศน์ ผู้ก่อตั้ง เพจห้องเรียนความสุข


ต่อคำถามที่ผมถามว่า คนที่ตามครูแนน และเพจห้องเรียนแห่งความสุข ได้รับสิ่งใดเป็นผลลัพธ์แก่ชีวิตบ้าง ครูแนนเมตตาตอบว่า 

"ช่วงแรกในการเปิด Page ห้องเป็นความสุข เรามีความฝันที่อยากให้คนไทยได้มีพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ที่พวกเขาได้เรียนรู้ความเป็นธรรมชาติของตัวพวกเขาเองอีกครั้ง ท่ามกลางข้อมูลในโลก Internet ที่รวดเร็วมากมาย เราอยากสร้างพื้นที่ที่ทำให้ทุกคนได้ฝึกช้าลง ฝึกเห็นการใช้ชีวิตของตัวเองในแต่ละวัน แล้วฝึกตั้งคำถามที่มีคุณภาพในการใช้ชีวิตสำหรับตัวพวกเขาเองมากขึ้น

ซึ่งผลลัพธ์มันค่อยๆ โตขึ้นอย่างธรรมชาติ หลายคนที่ได้เริ่มเข้ามาเรียนรู้ทักษะความสุข ได้ฝึกฝนปฏิบัติสม่ำเสมอ ฝึกนั่งสมาธิแบบผ่อนคลายสบายๆ กลับมาอัพเดทผลลัพธ์ว่า พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างละเมียดละไม และช้าลงมากขึ้น พวกเขาเคยวิ่งไล่ตามความสำเร็จและความสุขที่ฉาบฉวยมามากมาย พอได้มาเรียนรู้ ฝึกฝน ปรับใช้ พวกเขากลับมาเห็นว่า จริงๆ แล้วความสุขที่พวกเขาต้องการจริงๆ คืออะไร... 

เกิดความชัดเจนและตั้งคำถามลึกลงไปถึงความต้องการภายในของตัวเองมากขึ้น ว่าสิ่งที่พวกเขาไล่ตาม คือความสุขจริงๆ ที่ต้องการหรือเปล่า? หรือเพียงเพราะต้องการทำตามกระแสสังคมที่รวดเร็ว ทำเพราะความคาดหวังจากผู้อื่นหรือไม่ ทุกคนที่ได้เริ่มเข้ามาเรียนรู้ ทำให้พวกเขาได้เพิ่มทักษะการเห็นตัวเอง การรู้ตัวทั่วพร้อม เห็นความคิด รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของตัวเองอย่างสวยงามมากขึ้น

พวกเขากลับมาอ่อนโยนกับตัวเองมากขึ้นเมื่อพลาดพลั้งในการใช้ชีวิตบ้าง มีความแข็งแรงทางด้านจิตใจ เมื่อล้มแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่อย่างธรรมชาติ เพราะพวกเขาเริ่มเข้าใจธรรมชาติของตัวเองและธรรมชาติของประสบการณ์มนุษย์ในโลกใบนี้

พวกเขาได้นำทักษะความสุขนี้ไปปรับในชีวิตและการทำงาน เกิดความช้าแลชัด ในการใช้ชีวิตอย่างละเอียดมากขึ้น เกิดการตั้งคำถามกับตัวเองเมื่อเริ่มเปรียบเทียบความสำเร็จของตัวเองและของผู้อื่น เกิดความยินดี พอใจ กตัญญูในสิ่งที่พวกเขามี และสิ่งนี้ทำให้พวกเขามีพลังใจ เกิดความเติมเต็มเห็น จะได้ส่งต่อความรู้สึกของความสุขนี้ให้กับคนรอบข้าง ทำให้คุณภาพชีวิตรอบตัวของเค้าดีมากขึ้น 

ที่สำคัญ...สามารถต่อยอดความรู้สึกช้าและชัดนี้ ไปสร้างธุรกิจ การทำงาน ในแบบที่พวกเขาต้องการจริงๆ สามารถฝึกตัวเองให้ช้าลงได้ กลับมาดูแลสุขภาพจิต สุขภาพใจ กลับมาดูแล รักษาความสมดุลของพลังร่างกาย วางแผนชีวิตและงานให้เหมาะกับธรรมชาติของแต่ละคนต่อไป"

ด้วยความสงสัยผมจึงถามว่า ในด้านธรรมะ แบบประยุกต์กึ่งผสมปรัชญา ครูแนน นำสิ่งใดแนะนำต่อผู้คนที่ป่วยทางจิตวิญญาณ

"อย่างแรกเลย สมัยก่อนครูแนนเคยใช้ชีวิตที่ปราศจากความแข็งแรงทางด้านจิตวิญญาณมาอย่างมาก เพราะบางครั้งเราทุกคน ต่างมีโปรแกรมอัตโนมัติในการออกไปใช้ชีวิต ให้วิ่งไล่ล่าตามสิ่งที่อยู่ภายนอกและเห็นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เช่น ต้องการมีเงินทองมากขึ้น ต้องการความรักความสนใจจากผู้คนรอบข้างมากขึ้น ต้องการชื่อเสียงการยอมรับจากสังคมมากขึ้น ต้องการความมั่นคงทางด้านการงานมากขึ้น 

จนบางครั้งเราลืมความสุขเล็กๆ ที่อยู่รอบตัวและความสุขภายในจิตใจของเรา ส่วนใหญ่คนที่มีปัญหาหรือไม่แข็งแรงทางด้านจิตวิญญาณ พวกเขาเพียงแค่ลืม ทักษะการสมดุลโลก 2 ใบ คือ 1. โลกภายนอกและ 2. โลกภายใน หมายความว่า เราสามารถออกไปใช้ชีวิตทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดได้ทั้งด้านการงาน การสร้างอาชีพ การเก็บสะสมรายได้ การเก็บออม การดูแลครอบครัว ดูแลบุพการี ดูแลคนที่เรารัก นั่นคือโลกภายนอก สำหรับหน้าที่ของผู้เป็นมนุษย์ทุกคน แต่คนที่ไม่แข็งแรงทางจิตวิญญาณพวกเขาลืมกลับมาดูแลโลกภายใน ซึ่งเป็นโลกที่อยู่ภายในจิตใจและร่างกายของพวกเขาเอง 

คนที่ไม่แข็งแรงทางด้านจิตวิญญาณหรือโลกภายในส่วนใหญ่ พวกเขาจะลืมดูแลจิตใจของตัวเอง ให้พลังงานของตัวเองกับโลกภายนอกมากเกินไป พวกเขาลืมกลับมาอ่อนโยนกับตัวเอง พวกเขาคาดหวังกับตัวเองเพื่อโลกภายนอกมากเกินกว่าปกติ จนทำให้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณไม่เกิดการสมดุล ร่างกายอ่อนแอ จิตใจของตัวเองไม่ถูกดูแล ทำให้เกิดการป่วยทางด้านร่างกายและส่งผลไปถึงจิตวิญญาณ ขาดความมีชีวิตชีวาในการดำรงอยู่ในโลกใบนี้

สิ่งหนึ่งที่ครูแนนพาพวกเขากลับมาฝึกช่วงแรกสม่ำเสมอ คือการกลับมาเติมอาหารให้กับจิตวิญญาณของตัวเองบ้าง เช่น พาตัวเองออกไปสู่ธรรมชาติ รับความสุขจากลมเย็นๆ จากแดดอ่อนๆ ใช้เวลาสันโดษกับตัวเองบ้าง สามารถมีความสุขและเติมเต็มภายในด้วยตัวเองได้โดยปราศจากการรอคอยจากโลกภายนอก คนที่อ่อนแอทางจิตวิญญาณมักจะไม่อนุญาตให้ตัวเองได้มีความสุขเล็กๆ น้อยๆ จากสิ่งรอบตัว

ครูแนนเชื่อว่าจิตวิญญาณของพวกเราทุกคนต้องการอาหาร และอาหารที่สำคัญที่สุดของจิตวิญญาณ คือความรักที่บริสุทธิ์ที่เรามีให้กับตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้ว...หากเราจะจากโลกใบนี้ไป ไม่มีสิ่งใดจากโลกภายนอก เช่น เงินทอง ชื่อเสียง เพื่อน หรือครอบครัวที่จะไปกับเราได้

ในช่วงวาระสุดท้าย เราจะจากโลกใบนี้ไปด้วยร่างกายของเราและจิตวิญญาณของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลตัวเราเองและจิตวิญญาณของเราให้เป็นอิสระจากสิ่งต่างๆ สม่ำเสมอ พอเราเห็นธรรมชาติตรงนี้เราจะเกิดการตื่นรู้ในการใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความยึดติดน้อยลง เพราะเราเข้าใจธรรมะหรือธรรมชาติตรงนี้ เราจะรู้เลยว่า เรากำลังยึดติดกับภาพหลวงตาชั่วคราวที่เราเกิดมาบนโลกใบนี้มากเกินไปขนาดไหน บางคนไม่เคยเติบโตมาในครอบครัวหรือสังคมที่ให้กำลังใจแก่ตัวพวกเขาเลย 

พวกเขาเองจำเป็นที่จะต้องกลับมาดูแลหัวใจและร่างกายของตัวเองอย่างแท้จริง วางความคาดหวังลงจากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วเราเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมาเพื่อใช้ชีวิต เติมเต็มภารกิจจิตวิญญาณที่เราเกิดมาบนโลกใบนี้ ให้เรารู้สึกว่าหากเราจะลาจากโลกนี้ไป เราทำดีที่สุดแล้วในฐานะมนุษย์ที่พัฒนาสติปัญญาแล้วคนนึง 

พอพวกเขากลับมาดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ ฝึกการใช้ชีวิตให้เรียบง่ายมากขึ้น มีเท่าที่จำเป็นกับการดำรงชีวิต มีสติรู้ตัวกับความอยากมีอยากได้ ใช้ชีวิตให้เหมาะสมกับจังหวะกับธรรมชาติ ไม่เร่งเกินไป ไม่ช้าเกินไป ทุกคนจะมีจังหวะของตัวเองทั้งนั้น จิตวิญญาณเค้าก็จะกลับมาสมดุลมากขึ้น มันเกิดสภาวะมีความสุขได้ง่ายๆ เงื่อนไขในการใช้ชีวิตน้อยลง คุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้นค่ะ" 

ส่วนตัวครูแนนปฏิบัติกิจเกี่ยวกับจิตในระหว่างวันอย่างไรบ้างผมถามด้วยความอยากรู้.. 

"เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เรียนกับอาจารย์ในการฝึกสมาธิในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ทางด้านจิตวิญญาณ อาจารย์ทางด้านจิตวิทยาการรู้ตัว หรืออาจารย์ทางด้านการฝึกสมาธิโดยใช้ศาสตร์ Neuroscience ก็ดี จะนำความรู้มาฝึกกับตัวเอง มาตกผลึกให้เป็นความเข้าใจที่เรียบง่าย มาปรับใช้กับตัวเองก่อน ให้เกิดทักษะที่ใช้ได้จริงในแต่ละวัน เช่น กับครอบครัว หน้าที่การงาน ธุรกิจ คู่ชีวิต สร้างเหตุและสังเกตผล ว่าสิ่งที่เราเรียนมา นำมาใช้ในชีวิตจริงได้หรือไม่ เกิดผลลัพธ์ที่ดีในครอบครัว ในหน้าที่การงาน ในคู่ชีวิตหรือไม่ เพราะไม่ว่าเราจะเรียนรู้มามากแค่ไหนก็ตาม แต่เราไม่สามารถปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็ถือว่าเราไม่รู้อะไรเลย...

ในการฝึกจิตในแต่ละวัน ไม่มีวันไหนเลยที่ครูแนนไม่ตื่นขึ้นมา และขอบคุณชีวิตวันนี้อีกวันหนึ่ง ที่ได้หายใจ ที่ได้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ที่ได้มีคนที่รักเรามากมายและอยู่ข้างๆเรา กตัญญูขอบคุณจากธรรมชาติที่ได้มอบความเป็นมนุษย์ที่อาจจะไม่สมบูรณ์แบบบ้างในบางเวลา แต่นี่คือความสวยงามของชีวิตที่เราพร้อมจะเจอประสบการณ์ในทุกรูปแบบด้วยความโอบกอด โอบรับและยืดหยุ่นกับสิ่งต่างๆได้ 

ครูแนนจะฝึกวินัยทุกเช้าในการตื่นนอนขึ้นมาก่อนฟ้าสาง จะพาตัวเองนั่งสมาธิเพื่อเชื่อมต่อ
กับระบบลมหายใจ ระบบเส้นประสาทต่างๆ ในร่างกาย ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรเก็บอารมณ์สิ่งใดไว้บ้าง ใช้จิตเป็นเพื่อนกับลมหายใจและร่างกายทุกวัน ใช้จิตเป็นเพื่อนกับการทำงานของสมองในการเห็นภาพการใช้ชีวิตอย่างละเอียดอ่อนและละเมียดละไม เรียบง่าย ชัดเจน รู้ว่าจิตนี้ต้องการอะไร ต้องทำอะไร และใช้ชีวิตให้สงบและมีความสุขอย่างธรรมชาติอย่างไร 

ระหว่างวันจะฝึกใช้จิตในการสังเกตพฤติกรรม การคิด การพูด อารมณ์ และการลงมือทำของตัวเองว่าเป็นไปในแนวทางที่เราตั้งใจในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไหม หากเริ่มหลุดออกนอกเส้นทางก็จะวางจิตอีกครั้งหนึ่งในพื้นที่ที่สงบและปลอดภัยภายในจิตและร่างกาย นั่งนิ่งๆอยู่กับตัวเองและทบทวนสะท้อนการใช้ชีวิตอีกครั้ง 

มันเป็นวินัยที่หลายๆคนอาจคิดว่าจะเสียเวลาหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้ววินัยนี้เป็นวินัยพื้นฐานมากๆเลย ที่มนุษย์ควรจะต้องมี เพราะบางครั้ง เราสามารถหลุดไปในโลกของภาพลวงตากับความสุขชั่วคราวต่างๆได้ เพราะฉะนั้นการรู้ตัว การฝึกย้ำเตือนตัวเองเสมอ ว่าวันนี้เราเกิดมาเพื่อความสุขและความสงบใจอะไร จะทำให้เรากลับมาจำบ้านจิตวิญญาณที่มีความสุขง่ายๆอย่างธรรมชาติได้"

ทุกวันนี้ผู้คนเป็นโรคซึมเศร้าเยอะมากในสังคม เพราะไปแคร์บุคคล คำพูดคน การกระทำของคนอื่นมาก ครูแนนมีทริค แนะนำเพื่อดึงจิตวิญญาณของเขาอย่างไรบ้าง เมตตาแนะนำบ้างครับ

"ตอนนี้ผู้คนเป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะมากในสังคม เพราะบางครั้งพวกเขาต่างแบกรับอารมณ์ แบกรับการคาดหวังจากสังคม แบกรับความคิดเห็นหรือคำพูดต่างๆ จากคนที่เรารัก หรือบางครั้งจากคนแปลกหน้าก็มี พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงความรักที่บริสุทธิ์จากโลกใบนี้ บางครั้งพวกเขาเติบโตมายังไม่รู้เลยว่าอะไรคือความรักที่แท้จริงกับจิตวิญญาณของพวกเขาเอง 

อย่างแรกเลย หากพวกเขาได้อ่านข้อความนี้พวกเขาจะเข้าใจว่าสุดท้ายแล้วโลกใบนี้ เป็นเหมือนโรงละครหนึ่ง ที่ทุกคนต่างลงมาทำหน้าที่ในแบบของตัวเอง ด้วยความเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ดี บางคนเผลอทำร้ายผู้อื่น ด้วยคำพูดและการกระทำทำให้เกิดแผลในใจในการเติบโตและการใช้ชีวิต

หากวันนี้เรารู้สึกว่าเราซึมเศร้า หรือผิดหวังจากการใช้ชีวิต สิ่งแรกเลยเราต้องเข้าใจว่า ไม่มีใครจะดูแลจิตวิญญาณของเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง เพราะทุกคนบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่ต่างเวียนว่ายอยู่ในสนามอารมณ์ที่บางครั้งพวกเขาก็ออกมาจากความทุกข์ไม่ได้ 

พวกเขาต่างหลับไหลในการใช้ชีวิตและส่งต่อความทุกข์นั้นต่อๆ กันมาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว 
หน้าที่เราที่จะดึงจิตวิญญาณกลับมาได้ คือ การตื่นรู้...เห็นการเวียนว่ายความทุกข์ต่างๆ ที่อยู่ในสังคม เข้าใจและยอมรับว่า บางครั้งเราไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ที่กำลังเวียนว่ายอยู่ได้ หากพวกเขายังไม่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง แต่เราสามารถเลือกได้ที่จะตื่นขึ้นมาเห็นความจริงนี้ ตื่นขึ้นมาเห็นก่อน ว่าเราไม่จำเป็นต้องลงไปเวียนว่ายกับความทุกข์ในสนามอารมณ์เหมือนอย่างเช่นคนทั่วไป

เราต้องตื่นด้วยตัวเองขึ้นมาเรียนรู้ และป้อนอาหารที่ดีให้กับจิตวิญญาณของตัวเอง เช่น การฝึกสมาธิให้มีความสุข กลับมาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่แคร์ความรู้

เอ็นดูและรักตัวเองอย่างแท้จริง มอบความรักที่บริสุทธิ์ให้กับตัวเองอย่างแท้จริง ผ่านการกลับมาดูแลร่างกาย กลับมาดูแลเคารพพื้นที่ของตัวเอง ฝึกวางเฉยกับความทุกข์ต่างๆ ที่คนอื่นพยายามโยนมาให้เรา ไม่ว่าจะผ่านคำพูดหรือพฤติกรรมต่างๆ กลับมาพาจิตวิญญาณของเราไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี กลุ่มคนที่ดีที่พาเราไปในทางที่เจริญ กลุ่มคนที่สนับสนุนเรา ทำให้เราได้เติบโตและได้ใช้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ให้ได้ดีที่สุดในโลกใบนี้ 

เมื่อเราเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดที่เรามองโลกใบนี้ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น เราจะปลดปล่อยความรู้สึกทุกอย่างที่อยู่ภายใน เราจะเป็นอิสระอยู่เหนือประสบการณ์ต่างๆ เราจะกลับมาให้ความสำคัญของจิตวิญญาณของเรามากกว่าเมื่อก่อน เราจะรู้ว่าอะไรดี อะไรที่เป็นอาหารสำหรับจิตวิญญาณของเราที่เอาเข้ามาสู่ร่างกาย สู่ความคิด 

เราจะรู้ว่าอะไรที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บมาใส่ในจิตวิญญาณของเรา เราจะปล่อยไปยังธรรมชาติ ให้ธรรมชาติจัดสรรสิ่งต่างๆ เพราะสุดท้ายแล้วโลกใบนี้จะมีกฎของธรรมชาติที่ดูแลพวกเราเสมอ เมื่อเราเชื่อมั่นในกฎของธรรมชาติเราจะปล่อยวางสบายใจมากขึ้น ใครทำสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น 

หน้าที่เราคือกลับมาทำให้ความคิด จิตใจ คำพูด อารมณ์ และการกระทำของเราสะอาดละเมียดละไมและมีสติอยู่ทุกการเดินทาง และสุดท้ายเราจะอวยพรให้มนุษย์ที่มีความทุกข์ทุกคนให้พวกเขาได้ตื่นรู้ เมื่อเรากลับมาดูแลตัวเอง เราจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับมนุษย์ที่มีความทุกข์ทุกคนได้ต่อไป"

ถามจริงนะครับ.. อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ครูแนนมานำองค์ความรู้ทางด้านจิตวิญญาณมาบำบัดผู้คนทั้งๆที่มันยากต่อการจะนำเอามาทำเป็นธุรกิจ

"ถ้าคิดจะรวยครูแนนไปทำอย่างอื่นรวยกว่านะ 5555 เช่น ทำบ้านจัดสรร ธุรกิจอสังหาต่างๆ แต่ครูไม่เคยคิดแบบนั้นเลย คิดแต่ว่า ความกรุณาแห่งหัวใจยิ่งใหญ่สุดและอยากให้ทุกคนได้รู้ ครูแนนคิดว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ มีสิทธิพื้นฐานในการมีความสุขอย่างเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติได้ จริงๆ แล้วพวกเขามีสิ่งนี้อยู่ภายในจิตมนุษย์ที่บริสุทธิ์กันทุกคน แต่เพียงแค่ว่าพวกเรามาเวียนว่ายอยู่ในประสบการณ์ของมนุษย์ จนเราลืมจิตบริสุทธิ์ที่มีความสุขง่ายๆของเราไป

อย่างเช่น ตอนเด็กๆ เราสามารถมีความสุขง่ายๆ กับผีเสื้อที่บินผ่านหน้าเราไป เราสามารถคุยกับคนที่เราไม่รู้จักและเล่นกับเขาโดยไม่มีกำแพงขวางกั้นใดใด เราสามารถให้ขนมของเรากับเพื่อนใหม่ โดยที่เราไม่คาดหวังว่าจะได้ขนมนั้นกลับมาตอบแทนหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ครูแนนตกผลึกจากการเติบโตมา และได้กลับไปจำความสุขที่แท้จริงโดยไม่มีเงื่อนไขอีกครั้ง

เลยเป็นเหมือนภารกิจของครูแนนเองที่อยากพาทุกคนกลับมาบ้านภายในจิตใจของเรา 
ที่เราหลงลืมมาตั้งนานจากการใช้ชีวิตอย่างดิ้นรนสับสนของเราบนโลกใบนี้ ให้ทุกคนจำให้ได้อีกครั้งว่าพวกเรามีความรักที่บริสุทธิ์อยู่ภายในอยู่แล้ว และเราไม่ได้อยู่คนเดียว ตอนนี้มีผู้คนมากมายที่กำลังตื่นจากการหลับใหลและเริ่มกลับมาดูแลด้านจิตวิญญาณของตัวเองกัน และพวกเขาก็พร้อมที่จะมอบความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับพวกเราอยู่เสมอ 

วันนี้การบำบัดจิตวิญญาณที่ดีที่สุดคือการกลับมาจำจิตบริสุทธิ์ของเราให้ได้อีกครั้ง จิตที่เรียบง่าย ตื่นขึ้นมาเห็นความสวยงามของโลกใบนี้ ออกไปทำงาน ก็รู้สึกตื่นเต้น สนุก เมื่อได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ เจอความท้าทายในชีวิตก็ถือว่าเป็นสีสันหนึ่งของโลกมนุษย์นี้ที่ทำให้เราได้เติบโตและดึงศักยภาพข้างในของความเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐของเราออกมา หากจะพูดถึงเรื่องของแรงบันดาลใจ ครูแนนก็ขอขอบคุณความทุกข์ต่างๆที่ทำให้ได้เห็นอีกด้านของความสวยงามของชีวิต ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้เราได้ตกผลึกความรู้ เห็นแสงสว่างบางอย่าง และอยากมาช่วยเหลือผู้คนเติมแสงสว่างที่ดีเข้าสู่จิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคน

อย่างที่กล่าวไปช่วงแรก มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ในการมีความสุขได้ด้วยตัวเอง และเป็นอิสระจากประสบการณ์มนุษย์ทั้งปวง และครูแนนก็รู้สึกดีใจที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ ค่อยๆ บำบัดและช่วยเหลือผู้คนทุกๆ วัน แค่เห็นทุกคนมีความสุขง่ายๆ เริ่มกินง่าย อยู่ง่าย หลับง่าย ใช้จ่ายอย่างพอเพียง มีความสุขกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน กลับมามีรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติของพวกเราอีกครั้ง เข้าใจภารกิจของจิตตัวเองและสามารถปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจสูงสุดในการตื่นขึ้นมาทุกวันและส่งมอบภารกิจนี้ผ่านเนื้องานที่ทำต่างๆ และจะทำต่อไปขยายไปเรื่อยๆสู่สังคมวงกว้าง ทั้งในประเทศและเริ่มขยายไปสู่ต่างประเทศสู่เพื่อนมนุษย์เพิ่มมากขึ้นค่ะ"

จะว่าไปแล้วการใช้รูปภาษาร่วมสมัยของครูแนน ช่วยสื่อสารให้ผู้คนเข้าถึงเข้าใจได้มาก มากกว่าใช้ภาษาธรรมล้วนๆ ได้แนวคิดแบบนี้ วิธีแบบนี้จากไหนครับ

"จริงๆ แล้วต้องขอบพระคุณอาจารย์ทุกศาสตร์เลยไม่ว่าจะเป็น พระอาจารย์ แม่ชี ที่สอนสมาธิในวัด เมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็ก  อาจารย์สอนสมาธิที่อยู่ต่างประเทศ ที่ท่านได้ปรับใช้ภาษาธรรมของบ้านเราให้เกิดเป็นภาษาทางจิตวิทยาการรู้ตัว ผ่านงานวิจัยต่างๆ อาจารย์สอนวิชาความสุขที่มหาวิทยาลัย Harvard ที่เราไปเรียนรู้วิธีการการสอนของท่านมา ทำให้เราได้เห็นการใช้ภาษาที่หลากหลาย และอาจารย์ทางด้านนักวิจัยสมองที่นำศาสตร์สมาธิ และทักษะความสุขต่างๆ ของพวกเราไปทำให้เกิดความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น

ตัวครูแนนเองเวลาที่เรียนอะไรก็คิดว่า อยากถ่ายทอดให้ผู้คนได้ฟังเป็นคำพูดที่พวกเขาสามารถผ่านกระบวนการรับรู้ได้ง่ายๆ ตัวเราเองก็เป็นเจ้าหนูทำไมมาตั้งแต่เด็ก เวลาที่จะอธิบายอะไร เราก็ต้องตอบข้อสงสัยภายในใจของตัวเองให้ได้ก่อน และออกไปฝึกปฎิบัติ ให้มีตัวอย่างมีผลลัพธ์ให้ได้ก่อน ก็เลยเกิดการตกผลึกคำง่ายๆมาสู่ผู้คน เพราะบางครั้งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาครูแนนมีโอกาสได้สอนสมาธิชาวต่างชาติ และจะมีบางกลุ่มที่ไม่ได้ยึดในศาสนาใดๆ เราก็ต้องทำการบ้านอย่างมากเพื่อที่จะอธิบายให้เขาเห็นเป็นความธรรมชาติมากขึ้น บางครั้งต้องสอนสมาธิกับบุคคลที่อยู่ศาสนาอื่น เราเลยค่อยๆสร้างสรรค์ การเรียนรู้ การถ่ายทอด ให้เป็นสิ่งที่ทุกคนจับต้องได้โดยไม่มีขอบเขตความแตกต่างเข้ามากั้นกลาง 

เวลาพวกเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่มันคุ้นเคยกับสมองของพวกเขา พวกเขาก็จะให้ความสนใจมากขึ้น สบายใจขึ้น คุ้นเคยมากขึ้น ใช้คำที่เป็นธรรมชาติเหมาะกับความเข้าใจในพื้นฐานของมนุษย์มากขึ้น และให้พวกเขาเห็นแนวทางสามารถฝึกปฏิบัติได้จริง อยู่ที่บ้านก็สามารถทำได้ อยู่ที่ทำงานก็สามารถทำได้ อยู่ประเทศไหน อยู่มุมไหนของโลกก็สามารถฝึกได้ 

ก็รู้สึกดีใจที่ทุกคนชอบในแนวทางการแชร์ความรู้แบบนี้ค่ะ ทุกวันนี้ยังขอบคุณทุกคนอยู่เลยที่ชอบการสื่อสารของเรา รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางโลกภายในและโลกจิตวิญญาณของพวกเขากันค่ะ"

เมื่อเดินมาถึงจุดนี้แล้วครูแนนอยากฝากอะไรกับผู้อ่านบ้างครับ... เผื่อให้ผู้คนไปติดตามเพจบ้าง

"อยากฝากความรัก ความหวังและความศรัทธา ให้กับผู้อ่านทุกๆ ท่านที่กำลังอ่านจนถึงข้อความสุดท้ายนี้ค่ะ อยากให้ผู้อ่านได้เห็นความหวัง ความศรัทธา และแสงสว่างในตัวเองและมนุษย์ทุกคนที่กำลังเวียนว่ายอยู่บนโลกใบนี้ด้วยกัน 

ครูแนนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้...สุดท้ายแล้ว มนุษย์ทุกคนต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ “มีความสุขในชีวิต” สุดท้ายแล้วทุกคนอยากลาจากโลกนี้ไปด้วยมุมปากที่ยิ้มเล็กๆ ด้วย “ความสงบใจภายในตัวเอง” รู้สึกภูมิใจที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้ทำสิ่งต่างๆมากมายเพื่อตัวเองและผู้อื่นกันค่ะ 

ครูแนนและทีมงานห้องเรียนความสุข ขอเพียงแค่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางชีวิตของทุกคนแค่นี้ก็อุ่นใจและดีใจมากๆ อยากให้ทุกคนมีความหวังในตัวเองและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ว่าวันนึงพวกเราจะตื่นขึ้นมาแล้วช่วยกันทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น เกิดความสมดุลมากขึ้น ด้วยการพัฒนาสติการรู้ตัวของพวกเรา ลดความอยากที่มากเกินไป พวกเราจะได้มีเหลือไปสู่คนอื่นกัน เพราะโลกใบนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์อีกมากมาย ที่รอการแบ่งปันจากทุกภาคส่วนของสังคม

หากวันนี้ท่านผู้อ่าน อ่านมาถึงประโยคนี้อยากให้ท่านรู้ว่า ท่านไม่ได้เดินคนเดียวและไม่ได้โดดเดี่ยวบนโลกใบนี้อีกต่อไป ครูแนนและสมาชิกทุกคนพร้อมที่จะต้อนรับอย่างอบอุ่น เพื่อมาเดินทางเติมเต็มโลกภายในและจิตวิญญาณไปด้วยกัน เติมเต็มภายในและได้ออกไปเป็นตัวอย่างที่ดี สนับสนุนผู้คนรอบข้าง สนับสนุนคนที่เรารัก และสังคมของเรากันต่อไปค่ะ หากมีโอกาสทุกท่านสามารถเข้ามาเรียนรู้ไปพร้อมกันกับพวกเรา “ห้องเรียนความสุข” ได้ค่ะ

ต้องขอขอบคุณครูแนน ที่ได้สละเวลาอันมีค่ามาพูดคุยกันในวันนี้... สมัยที่ผมเรียนที่ประเทศอินเดีย ในด้านศาสนาปรัชญา และ เรียนพุทธศาสนามหายานในเขตปกครองพิเศษทิเบต ผมเคยคิดเสมอว่า โลกใบนี้ไม่เคยสิ้นอานิสงส์แห่งพุทธธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะไม่ใช่นักบวชก็เข้าใจธรรมชาติแห่งธรรมได้ วันนี้ประเทศไทย มีครูแนน ผู้เสียสละโอกาสความร่ำรวยของตนเพื่อให้ผู้คนมีความสุข

ติดตามครูแนนได้ครับ ที่เพจห้องเรียนความสุข แล้วคุณจะรู้ว่าความสุขทั้งหลายพร้อมเกิดขึ้นในใจเราเสมอ เหมือนกับความทุกข์ทั้งหลายที่อยากจากไปแต่ใจเราเองนั่นแหละที่ไม่ยอมปล่อย

ราชรามัญ