อียูเสนอร่างกฎหมายฟื้นฟูธรรมชาติ มุ่งสร้างสมดุลระบบนิเวศ

18 ต.ค. 2565 | 04:38 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ต.ค. 2565 | 12:09 น.

สหภาพยุโรป (อียู) เสนอร่างกฎหมาย EU Nature Protection Package มุ่งปกป้องและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ ตลอดจนการลดใช้ยาปราบศัตรูพืช เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่างไรบ้าง

 

คอลัมน์ ชี้ช่องจากทีมทูต โดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์/คณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป

 

แผ่นดินไหว ฝนไม่ตกตามฤดูกาล พายุรุนแรง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภัยพิบัติเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจาก ปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน จากสิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายให้แก่สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ จากเหตุการณ์ดังกล่าว หลายประเทศทั่วโลกจึงหาแนวทางแบ่งเบาความรุนแรงที่เกิดขึ้นผ่านนโยบายและมาตรการต่าง ๆ รวมถึง สหภาพยุโรป (อียู) ที่ตื่นตัวกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

 

คณะกรรมาธิการยุโรป ได้เสนอแผนปฏิรูปกฎหมาย ‘EU Nature Protection Package’ ต่อสภายุโรป และคณะมนตรียุโรป เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2565  เพื่อกำหนดมาตรการด้านการปกป้องและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ ตลอดจนการลดใช้ยาปราบศัตรูพืช ให้ประเทศสมาชิกอียู 27 ประเทศร่วมกันปฏิบัติอย่างจริงจัง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ EU Biodiversity Strategy เพื่อหยุดยั้งอัตราการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2030

อียูเสนอร่างกฎหมาย EU Nature Protection Package มุ่งปกป้องและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ - ระบบนิเวศ

นอกจากนี้ ยังเพื่อผลักดันให้เกษตรกรเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์กันมากยิ่งขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากสารเคมีตกค้างและหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารเคมีทั้งทางดิน ทางน้ำ และอากาศ

 

กำหนดเป้าหมายฟื้นฟูระบบนิเวศให้ได้ร้อยละ 20 และลดการใช้สารพิษในภาคเกษตรร้อยละ 50 ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) โดยแผนปฏิรูปประกอบด้วยร่างกฎหมาย 2 ฉบับ ได้แก่

 

1.ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ (Nature Restoration Regulation) ซึ่งเป็น กฎหมายฉบับแรกของโลกที่ได้กำหนดเป้าหมายที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (binding targets) ให้ทุกประเทศสมาชิกอียูยึดถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพทั้งทางบกและทางทะเลอย่างน้อยร้อยละ 20 ของพื้นที่ทั้งหมดภายในภูมิภาคยุโรปให้มีสภาพที่ดีขึ้นภายในปี 2030 รวมถึงปรับปรุงฟื้นฟูพื้นที่ทางธรรมชาติอื่น ๆ ทั้งหมดให้กลับคืนสู่สภาพสมดุลภายในปี 2050 ภายใต้ข้อเสนอสำคัญ ดังนี้

  • หยุดการลดจำนวนลงของผึ้งหรือแมลงผสมเกสร (pollinators) ชนิดต่าง ๆ ที่ช่วยผสมพันธุ์พืชให้ฟื้นสภาพกลับมาใหม่ภายในปี 2030
  • หยุดยั้งการสูญเสียพื้นที่สีเขียวเดิมในเขตชุมชนเมืองให้ได้ภายในปี 2030 รวมถึงเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่าง ยั่งยืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของพื้นที่ทั้งหมดของชุมชน (ทั้งในเมืองและชนบท) ภายในปี 2050 โดยร้อยละ 10 ของพื้นที่สีเขียวทั้งหมดควรเป็นพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุม (tree canopy)
  • ฟื้นฟูระบบนิเวศเกษตรและป่าไม้ โดยการเพิ่มจำนวนผีเสื้อและนก และส่งเสริมให้มีการสะสมคาร์บอนในดิน
  • อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะบริเวณหญ้าทะเลและ ตะกอนดิน รวมถึงฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำสายพันธุ์ที่มีความโดดเด่น (lconic Species) อาศัยในแนวปะการังในมหาสมุทร และทะเลภายในที่เป็นน้ำเค็ม

อียูตั้งเป้าหยุดยั้งการสูญเสียพื้นที่สีเขียวเดิมในเขตชุมชนเมืองให้ได้ภายในปี 2030

  • ฟื้นฟูสมดุลและความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ป่าพรุ จากการดำเนินกิจกรรมการเกษตร การปลูกป่า และการใช้ประโยชน์จากที่ดิน
  • บริหารจัดการแม่น้ำสายหลัก - สาขาทั่วทวีปยุโรปเป็นระยะทาง 25,000 กิโลเมตร ให้น้ำไหลได้สะดวก ภายในปี 2030 เพื่อคืนความสมดุลให้กับระบบนิเวศและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ทั้งนี้ ร่างกฎหมายกำหนดให้ประเทศสมาชิกอียูต้องเร่งดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติ (National Restoration Plan) ที่มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทการพัฒนาประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่กฎหมาย กำหนดไว้ โดยคณะกรรมาธิการยุโรป จะติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของประเทศสมาชิกตามแผนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด รวมถึงจัดสรรงบประมาณจากโครงการ Horizon Europe และนโยบายเกษตรร่วม (CAP reform) เพื่อช่วยเหลือด้านการปรับตัวของชาวนาและเกษตรกรของแต่ละประเทศต่อไป

 

2. ร่างแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชอย่างยั่งยืน (Sustainable Use of Pesticides Regulation) ซึ่งมีข้อเสนอสำคัญ ดังนี้

  • กำหนดเป้าหมายที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (binding targets) เพื่อลดปริมาณและความเสี่ยงอันตรายจากการใช้สารเคมีในการทำการเกษตรภายในอียูให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี 2030 โดยประเทศสมาชิกอียูแต่ละประเทศต้องจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติ (national reduction targets) เพื่อควบคุมปริมาณและความเสี่ยงอันตรายจากการใช้สารเคมีให้น้อยลงตามข้อกำหนด โดยอัตราการปรับลดขั้นต่ำต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 35
  • กำหนดให้เกษตรกรผู้ใช้สารนำกลยุทธ์การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน (Integrated Pest Management: IPM) มาใช้ควบคุมศัตรูพืช โดยใช้กลไกการควบคุมโดยศัตรูธรรมชาติ ซึ่งคำนึงถึงผลผลิต ผลตอบแทน และความปลอดภัย มาใช้เป็นหลักปฏิบัติสำคัญ และใช้สารเคมีเกษตรในกรณีที่จำเป็นและเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
  • ห้ามใช้สารเคมีเกษตรในเขตชุมชนที่มีความอ่อนไหว เช่น สวนสาธารณะหรือสนามเด็กเล่น รวมถึงพื้นที่สำหรับออกกำลังกาย ทางเท้า และพื้นที่เปราะบางทางระบบนิเวศอื่น ๆ

 

ด้านกลุ่ม Greens ในสภายุโรป ตลอดจนภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสุขภาพส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ และย้ำความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ แต่กลุ่มเกษตรกรภายในอียู ได้ออกมาแสดงความกังวลต่อแผนการดังกล่าว เนื่องจากมองว่ามาตรการลดการใช้สารเคมีที่เข้มงวดเกินไปจะทำให้ปริมาณการผลิตและคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร และยังเป็นการซ้ำเติมให้ภาระต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกษตรกรต้องแบกรับจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีกจนอาจทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการในภูมิภาคตามมาได้

 

ประเทศสมาชิกอียูบางประเทศย้ำว่าเป้าหมายในการลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและสารเคมีเกษตรจะต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรมและการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม

ยังจะต้องมีการหารือระหว่างรัฐสภายุโรป คณะกรรมาธิการยุโรป (ฝ่ายบริหาร) และคณะมนตรียุโรป (ประเทศสมาชิก) เป็นลำดับต่อไป

นอกจากนี้ ยังได้เรียกร้องให้ภาครัฐให้ความรู้และข้อมูลแก่เกษตรกร รวมถึงชาวประมงพื้นบ้านในเรื่องของแนวทางการปรับตัวจากการเร่งแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติด้านนิเวศเกษตร (น้ำ ป่าไม้ ที่ดิน) และการลดใช้สารเคมีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในลำดับต่อไป รัฐสภายุโรปจะต้องหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการยุโรป (ฝ่ายบริหาร) และคณะมนตรียุโรป (ประเทศสมาชิก) ซึ่งอาจมีการเพิ่มเติมข้อเสนอใหม่ๆ เข้ามาในร่างกฎหมายฯ อีกในอนาคต

 

ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับไทย

แม้ว่ามาตรการข้างต้นจะถูกบังคับใช้เฉพาะประเทศสมาชิกอียู แต่ยังมีประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ อย่างมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการย่อยของ European Green Deal จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2569

 

โดยมาตรการดังกล่าวมีการปรับราคาสินค้านำเข้าบางประเภท เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิก EU ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องระมัดระวังการส่งออกสินค้าในกลุ่มต่อไปนี้เป็นพิเศษ ได้แก่

 

(1) บริการไฟฟ้า (2) ซีเมนต์ (3) ปุ๋ย (4) เหล็กและเหล็กกล้า (5) อะลูมิเนียม

 

ด้านรายละเอียดอื่น ๆ นั้น ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ คลิกที่นี่