ในการออกมาประกาศของทาง ฯพณฯ ท่านนายพลอาวุโส เมียน อ่อง หล่าย เมื่อวันครบรอบ 38 ปี วันกองทัพเมียนมา ในวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่มีความไม่สงบที่เมืองเมียวดีเมื่อเร็วๆนี้ ว่าจะใช้มาตรการปราบปรามอย่างเข้มข้น กับกลุ่มฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ซึ่งก็ทราบกันดีว่าพื้นที่เมืองเมียวดี เป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งของประเทศเมียนมา ที่เป็นประตูการนำเข้า-ส่งออกสินค้าทางชายแดนไทย-เมียนมา
เป็นเหตุให้มีการระงับสินค้าที่อยู่ในด่านชายแดนนี้ ไม่ให้ทำการขนส่งสินค้าเข้าออกได้ นี่เป็นเหตุผลให้ทางการทหารเมียนมา ได้ออกมาประกาศดังกล่าว แน่นอนว่ากลุ่มที่ทางการทหารต้องการจัดการตามมาตรการดังกล่าว ย่อมหมายถึงกลุ่ม NUG และกลุ่ม PDF นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชนชาติพันธุ์ที่ยังไม่ได้เข้ามาร่วมเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลทหารเมียนมานั่นเองครับ
การประกาศดังกล่าว ทำให้เกิดการคาดการณ์จากหลายฝ่ายไปในทิศทางต่างๆ นานา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจและผู้ประกอบการด้านการค้าชายแดน ทำให้เกิดอาการระส่ำขึ้นมาทันที เพราะเชื่อว่ารัฐบาลทหารเมียนมาจะเอาจริงกับเรื่องนี้แน่นอน เพราะผลจากการถูกฝ่ายต่อต้านบุกเข้ามาถล่มถึงในเขตเมือง เป็นการปฏิบัติการที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นสักครั้ง
เพราะส่วนใหญ่ก็จะมีการปฏิบัติการนอกเขตเมือง ส่วนความสูญเสียที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นอกจากชีวิตและทรัพย์สินที่สูญเสีย ยังรวมไปถึงการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้นนั้น เชื่อว่ายังจะต้องมีผลตามมาอีกเยอะ เพราะความเอาจริงเอาจังของทหารฝ่ายรัฐบาล เราเองไม่สามารถที่จะคาดเดาได้จริงๆ ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปครับ
ผลที่จะตามมาอีกประการหนึ่ง เชื่อว่าจะส่งผลทำให้การค้าของชายแดนไทย-เมียนมา ที่ช่วงแรกที่เราเห็นว่ามีการเปิดด่านแล้ว ว่าจะได้รับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตมากขึ้นนั้น เชื่อว่าจะต้องส่งผลให้เกิดอาการฟ้าฝนถล่มระลอกใหม่อีกครั้งแน่ๆ ต้องมีอาการซบเซาขึ้นมาอีกครั้ง นั่นก็ไม่เพียงแต่ส่งผลในด้านตัวเลขของ GDP ของเมียนมาเท่านั้น ยังทำให้มูลค่าการส่งออกของประเทศไทยเราได้รับผลกระทบด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ Consumption ของประชาชนชาวเมียนมา ก็จะต้องลดลงอย่างมากด้วยเช่นกัน เพราะสินค้าที่ใช้ในการบริโภคภายในประเทศเมียนมา ส่วนใหญ่ที่เป็นสินค้าประเภทอุปโภค-บริโภค จะเป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาจากประเทศไทยเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเส้นเลือดใหญ่ถูกตัดขาด ย่อมส่งผลให้การไหลเวียนของสินค้ามีปัญหา การจับจ่ายใช้สอยเมื่อไม่มี Supply ที่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ก็ย่อมส่งผลต่อการค้าขายสินค้าอย่างแน่นอนครับ
ที่จะตามมาอีกก็คือ กระแสเงินสดในท้องตลาด ที่ก่อนหน้านี้เคยมีปัญหามาตั้งแต่เริ่มต้นการระบาดของ COVID-19 จนกระทั่งมาหนักมากๆ ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถึงขั้นส่งผลให้รัฐบาลเมียนมา ต้องออกมาประกาศให้ระงับการชำระหนี้ต่างประเทศเป็นการชั่วคราวมาแล้ว แต่ต่อมาการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ก็ได้เริ่มคลี่คลายดีขึ้นเป็นลำดับ
เชื่อว่าครั้งนี้ผลจากการประกาศดังกล่าว จะส่งผลต่อเนื่องของปัญหานี้อีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมเองก็เกิดความกังวลใจว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเมียนมา อาจจะต้องใช้เวลายาวนานกว่าเดิมออกไปอีกนั่นเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังพออุ่นใจได้ว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ คือ “การเลือกตั้งใหญ่” ที่ก่อนหน้านี้ ทางรัฐบาลเมียนมาเองก็เคยปรารภไว้ว่า จะให้มีการเลือกตั้งในเดือนสิงหาคมนี้ แต่ก็ไม่ได้ออกมายืนยันให้ชัดเจนอยู่นาน แต่มาครั้งนี้ ฯพณฯ ท่านนายพลอาวุโส เมียน อ่อง หล่าย ได้ออกมาพูดในทำนองว่า อยากเรียกร้องให้ประชาคมโลก ให้ความสนับสนุนร่วมมือให้การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ประเทศเมียนมากลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยให้สำเร็จ และอยากให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์เสรีและยุติธรรม
อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้ ทางคณะการจัดการเลือกตั้งของรัฐบาลเมียนมา ก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่า จะมีพรรคการเมืองระดับภาคและรัฐ ทั้งหมดประมาณ 51 พรรคเท่านั้นที่เข้ามาจดแจ้งต่อนายทะเบียนใหม่ อีกประมาณเกือบครึ่งไม่ได้มาแสดงตนยืนยันว่าจะเข้าร่วมการเลือกตั้ง รวมถึงพรรค NLD ของท่านดอร์ ออง ซาน ซูจี ก็ไม่ได้เข้ามาร่วม ด้วยเหตุผลต่างๆนานา ทำให้พรรคการเมืองที่ไม่แสดงตน ต้องถูกยุบพรรคไปโดยปริยาย
ซึ่งอาจจะทำให้หลายฝ่ายโดยเฉพาะชาติตะวันตกไม่สบายใจ กับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นก็ได้ โดยส่วนตัวของผม ผมคิดว่ามีการเลือกตั้งก็ยังดีกว่าไม่มี แม้ว่าจะเป็นการฟอกขาวหรือใดๆ ก็ตาม ก็ยังสามารถพูดได้ว่าได้เป็นประชาธิปไตยบ้างแล้ว และต้องบอกว่า รัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ ย่อมมีความแตกต่างกันออกไป เราควรต้องให้การเคารพสิทธิแต่ละประเทศเขา ในฐานะคนนอก เราก็ไม่ควรไปวิจารณ์ใดๆ เขาได้ครับ
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ก็คือความไม่สงบภายในประเทศเมียนมา เพราะนั่นจะทำให้สันติภาพเลือนรางออกไป หากทุกฝ่ายยังคงไม่ตระหนักถึงจุดนี้ ก็ยากที่จะเกิดความสงบได้ คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือประชาชนตาดำๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยนั่นเอง
เมื่อฟ้าหลังฝนกระหน่ำมาสองระลอกใหญ่ ทั้งโรคระบาด COVID-19 และการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่ทำให้ประเทศถูกแทรกแซงจากชาติตะวันตก ที่ไม่มีส่วนได้เสียอะไรกับประเทศเมียนมาเลย พอเกิดอาการที่ฟ้ากำลังจะเปิดใหม่อีกครั้ง ก็จะต้องมาเจอกับฟ้าฝนที่ตั้งท่าว่าจะถล่มระลอกใหม่อีก ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเป็นใยจริงๆ ครับ