สถานที่ท่องเที่ยว ในภาคเหนือของเมียนมา

19 ก.พ. 2566 | 20:40 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.พ. 2566 | 02:07 น.

คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ผมเคยขอให้เพื่อนๆ ท่านผู้ฟังรายการ Good Morning Asian ได้ส่งคำถามที่ท่านอยากจะทราบเกี่ยวกับประเทศเมียนมา เข้ามาทางรายการที่สถานีวิทยุอ.ส.ม.ท. 100.5 MH ปรากฎว่ามีคำถามเยอะมาก มากเกินกว่าผมจะใช้เวลาตอบคำถามในรายการได้หมด วันนี้จึงขออนุญาตนำมาตอบในคอลัมม์นี้นะครับ หวังว่าคำถามเหล่านั้น จะให้ความถูกใจแก่แฟนคลับที่เป็นสายท่องเที่ยวในคอลัมม์นี้ ซึ่งคิดว่าก็มีไม่น้อยที่เป็นแฟนคลับของรายการนั้นด้วย 

คำถามยอดนิยมที่คนไทยเราอยากจะรู้ ก็คือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในภาคเหนือของประเทศเมียนมา ซึ่งมีมาหลากหลายรูปแบบ ผมขอยกยอดที่จะตอบไว้เพียงเล็กน้อย เพียงพอเป็นการแก้ขัดนะครับ

ที่ถามมาว่ารัฐตอนเหนือของเมียนมา มีเมืองไหนน่าเที่ยวบ้าง? และความปลอดภัยมีมากน้อยเพียงใด อีกท่านหนึ่งถามมาว่า อยากให้เล่าเรื่องเส้นทางท่องเที่ยวจากอำเภอแม่สอดเข้าเมียนมา โดยการตระเวนเที่ยวตรงไหนได้บ้าง? ใช้เวลากี่วัน? นอนที่ไหนได้บ้าง? อาทิตย์นี้แค่สองคำถามก็คิดว่าคงตอบได้ไม่หมดแล้วนะครับ หากมีโอกาสโดยที่แฟนคลับทุกท่านไม่เบื่อเสียก่อน ผมจะนำคำถามอื่นๆมาตอบต่อไปนะครับ 

 

ส่วนคำถามข้อแรกเลยคือ รัฐตอนเหนือของเมียนมา ท่านไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นรัฐใดบ้าง?ผมก็จะขออนุมานเอาว่า ทุกรัฐโดยเริ่มจากรัฐฉานก่อนนะครับ ถ้าเราเดินทางออกจาก เมืองมัณฑะเลย์ โดยมุ่งตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มจากเมืองสุดท้ายของรัฐมัณฑะเลย์ ก็คือเมืองปิ่น อู่ ลิน หรือในอดีตเรียกว่า “เมืองเมเมี่ยว” เมืองนี้มีความสวยงามมาก มีสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษยังหลงเหลืออยู่เยอะพอควร โดยเฉพาะบ้านของประชาชน แต่ที่กรุงย่างกุ้งหรือมัณฑะเลย์ มักจะพบในสถานที่ราชการเท่านั้น เพราะที่นี่เป็นเมืองที่อยู่บนที่ราบสูงของรัฐฉาน อีกทั้งยังมีน้ำตกสวยงามมาก ที่ยังคงบริสุทธิผุดผ่องอยู่ไม่ถูกทำลายบรรยากาศเดิมๆไปมาก

ในอดีตยุคสมัยหนึ่ง เคยเป็นเมืองที่นักการทูตจากต่างประเทศ มักจะชอบไปใช้เป็นบ้านพักตากอากาศ  นอกจากนี้ยังเป็นเมืองตากอากาศของเหล่าข้าหลวงอังกฤษในสมัยอาณานิคมเข้าปกครองพม่า เพราะนอกจากจะมีภูเขาล้อมรอบ ยังเป็นเมืองที่ปลูกดอกไม้เมืองหนาวทุกชนิด

นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่ปลูกพืชผักผลไม้ ส่งลงมาขายที่กรุงย่างกุ้ง และส่งออกไปยังมณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐจีนอีกด้วย เมืองนี้น่าเสียดายที่ไม่มีโรงแรมระดับห้าดาว แต่จะมีเพียงโรงแรมที่เอาบ้านเก่าที่ผมกล่าวถึง มาดัดแปลงเป็นโรงแรมระดับสามดาวเท่านั้น แต่ก็น่าไปนอนพักอยู่ดีครับ

ทุกครั้งที่ผมเดินทางไปเมืองลาซิลหรือชายแดนเมียนมา-จีน ที่ด่านมู่เจ-ยุ้ยลี่ ผมมักจะพักค้างคืนที่เมืองนี้ประจำ จึงหวังว่าหลังจากที่ไม่ได้ไปที่เมืองนี้ ตั้งแต่หลังจากโรค COVID-19 ระบาดหนัก จะมีคนไปสร้างโรงแรมดีๆไว้รองรับนักท่องเที่ยวบ้างนะครับ 

 

เมื่อเลยออกจากเมืองปิ่น อู่ ลินหรือเมเมี่ยว รัฐมัณฑะเลย์ เดินทางออกไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะเป็นการเข้าสู่รัฐฉาน เมืองแรกของรัฐฉานคือเมืองหนองโชว ถ้าเรียกแบบไตก็คือเมืองหนองเขียวนั่นเอง ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ภายในเมืองไม่ค่อยมีอะไรน่าเที่ยวมากนัก จะมีเพียงระหว่างทาง ที่หากเราขับรถออกมา แล้วตรงไปยังเมืองจ๊อกเมียว จะผ่านถนนที่เราสามารถจอดรถในจุดที่ทางการเขาจัดไว้ เพื่อให้ชมทางรถไฟที่ผ่านสะพานโกเต็ค เวียดัค (Gokteik Viaduct) ซึ่งเป็นทางรถไฟสายหฤโหดของประเทศเมียนมา

เส้นทางรถไฟสายนี้ เป็นสายที่หากเรามองจากจุดจอดรถดังกล่าว เราจะเห็นรถไฟที่กำลังขับผ่านสะพานไปในลักษณะที่เสมือนเดินหน้าแล้วถอยหลัง แล้วจึงพุ่งเดินหน้าใหม่อีกครั้งจนลับสายตา แต่ด้วยความเป็นจริงแล้ว รถไฟเขาขับเดินหน้าเพียงทางเดียว เพียงแต่สายตาเราหลอกตาเราเอง  จึงทำให้เสมือนเดินหน้าแล้วถอยหลัง ผมอยากให้เราได้ชมความงามอันน่าพิศมัยและพิศวง

เส้นทางรถไฟสายนี้สร้างมานานมาก ตั้งแต่ยุคอังกฤษปกครองเมียนมาในปี 1900 แล้วครับ โครงสร้างของสะพานเป็นโครงเหล็ก หากเรามองจากที่ไกลๆ บนถนน จะไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดอะไรมาก ถ้าเข้าไปดูใกล้ๆ จึงจะเห็นเหล็กที่นำมาก่อสร้างนั้น เป็นการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่วิจิตรพิศดารมาก เพราะมีโครงสร้างมีความซับซ้อน อีกทั้งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก และอยู่สูงมากบนยอดภูเขาเลยทีเดียวครับ 

นอกจากนี้ถนนสายดังกล่าวยังจะตัดผ่านทางที่เรียกว่า “สวรรค์เก้าชั้น” เพราะทางจะคดเคี้ยวเลี้ยวลดน่าดูชม โดยจะไต่ขึ้นเขาตลอดทาง มีโค้งเยอะมาก แต่ละโค้งจะเป็นโค้งหักศอกทั้งนั้นเลยละครับ รถบรรทุกสินค้าที่จะขับไปยังด่านชายแดน จะมีพนักงานติดรถ คอยแบกไม้หมอนที่มีลักษณะเหมือนหมอนขิก หรือเป็นสามเหลี่ยมใหญ่ๆ วิ่งตามหลังรถบรรทุกคันโต ที่ขับเร่งเครื่องอยู่เต็มสตีมอยู่ หากรถเร่งเครื่องจนหมดกำลัง เด็กที่วิ่งแบกไม้หมอน จะรีบเอาไม้หมอนไปเสียบล้อรถ ไม่ให้รถไหลถอยหลังตกเขา ดูไปก็ขำไป แต่เด็กรถและคนขับรถคงจะขำไม่ออกแน่ๆ ครับ 

พอเลยจากเมืองจ๊อกเมียว ก็เข้าสู่เมืองสีป้อ เมืองนี้สวยงามมากครับ ที่เมืองสีป้อมีทะเลสาบไม่ใหญ่มากอยู่แห่งหนึ่ง ที่นี่ยามพระอาทิตย์ตกดิน จะสวยงามโรแมนติกมาก ใครที่ติดคู่รักไปเที่ยวด้วย ก็คงจะสร้างบรรยากาศได้ดีน่าดู เสียดายที่ผมไปขายสินค้า มัวแต่ยุ่งกับการค้า-ขาย เลยไม่ได้พาภรรยาไปด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีวัดที่น่าสนใจอยู่แห่งหนึ่ง สายมูคงจะถูกใจครับ คือวัดโบวเกียว ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบที่มีบรรยากาศดีมากครับ ถ้าได้ไปก็อย่าพลาดเข้าไปเที่ยวชมดูนะครับ

พอผ่านเมืองจ๊อกเมียวก็จะเข้าสู่เมืองลาซิลละครับ หากเราไปในฤดูหนาว สองข้างทางจะมีทั้งสับปะรดที่หวานฉ่ำ และสตรอว์เบอร์รีที่อร่อยมาก ขายอยู่ริมทางยาวหลายกิโลเมตรเลยครับ ใครที่ชอบทานผลไม้เหมือนผม ก็จะเพลินไปกับทานผลไม้ ไม่ต้องทานข้าวเลยครับ เสียดายที่เนื้อที่กระดาษหมดแล้ว ไว้โอกาสหน้าจะเล่าต่อนะครับ ที่เที่ยวยังเหลืออีกเยอะ แต่ปัจจุบันนี้ สถานการณ์ยังไม่อำนวย ไว้รอให้เข้าที่เข้าทางก่อนนะครับ ผมจะพาไปเที่ยวให้หน่ำใจเลยครับ