มีแฟนคลับถามมาว่า เว็บไซต์หลอกลวงในประเทศเมียนมามีหรือไม่? เป็นคำถามที่ทันสมัยมากเลยครับ ตอบแบบไม่ต้องอ้อมค้อม ก็ต้องบอกว่าในประเทศแถบภูมิภาคนี้ ไม่มีประเทศไหนหนีพ้นน้ำมือของกลุ่มธุรกิจมืดๆ ไปได้หรอกครับ
ประเทศไหนไม่มีธุรกิจประเภทเทาๆ มืดๆ ก็แปลกประหลาดแล้วละครับ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ เพราะเขาเจอกับตัวเขาเองเลยครับ เอาเป็นว่า ชื่อของตัวละครต่อไปนี้ เป็นนามสมมุตินะครับ เพื่อความปลอดภัยของตัวแหล่งข่าวเองครับ (เพื่อผมจะได้มีแหล่งข่าวคอยให้ข่าวต่อไป)
เมื่อประมาณปลายเดือนที่ผ่านมา ผมมีกำหนดการว่าจะไปดูธุรกิจของผมที่ประเทศเมียนมา ผมจึงได้โทรไปชวนเพื่อนรักคนหนึ่ง ที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศเมียนมาเหมือนผมมานาน ซึ่งเขาเข้าไปทำธุรกิจหลังผมไม่นานนัก โดยครั้งนี้ผมเอ่ยปากชวนเขาไปว่า เราไปดูงานที่ย่างกุ้งด้วยกันมั้ย เขาตอบว่าเขาเพิ่งกลับมา แต่อยากจะเตือนผมว่า กลางค่ำกลางคืนก็อย่าออกไปไหนนะ กลับบ้านเร็วนิดน่าจะปลอดภัยกว่า
ผมก็บอกไปว่า ผมไม่เคยออกไปเที่ยวนอกบ้านตอนกลางคืนหรอก คงไม่มีปัญหาสำหรับผม และได้ถามไปว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้เตือนผมเช่นนั้น เขาจึงเล่าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เขากำลังจะกลับจากกรุงย่างกุ้งมากรุงเทพฯ ก็ได้มีโทรศัพท์จากเพื่อนนักธุรกิจชาวจีนแผ่นดินใหญ่คนหนึ่ง ขอร้องให้เขาอยู่ย่างกุ้งต่ออีกสักนิด เพื่อช่วยตามหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกให้มาทำงานในกรุงย่างกุ้ง
โดยทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ที่กรุงย่างกุ้ง ปรากฏว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ได้โทรศัพท์ไปบอกแม่ของเธอว่า ให้ช่วยเธอด้วย เพราะเธอถูกทรมานด้วยการทุบตี และกำลังจะถูกขายต่อไปให้กลุ่มธุรกิจมืดที่ชายแดนเมียนมาอีกทอดหนึ่ง เพื่อนผมจึงสอบถามรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนี้ รวมทั้งรูปพรรณสัณฐาน และจุดหมายที่จะติดต่อ แล้วจึงเริ่มประสานงานติดต่อไปยังกลุ่มธุรกิจมืดดังกล่าว
จากการติดต่อ จึงทราบว่าเด็กคนนี้ไม่ยอมทำงาน จึงถูกทรมาน อีกทั้งกำลังจะถูกขายไปให้กลุ่มมิจฉาชีพต่ออีกทอดหนึ่ง ด้วยสนนราคาสองล้านสี่แสนบาท ถ้าหากต้องการจะช่วยเด็กผู้หญิงคนนี้ จะต้องจ่ายเงินในจำนวนเท่ากับราคาขาย จึงจะสามารถช่วยเด็กกลับบ้านได้ แม่ของเด็กจึงระดมกู้ยืมเงิน แล้วจึงส่งมาให้เพื่อนผมคนนั้น นำเอาไปไถ่ถอนเด็กออกมา
แต่หลังจากไถ่ถอนออกมาได้ ปัญหาการส่งตัวกลับไปยังบ้านเกิดที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ ที่เพื่อนผมเล่าว่า ต้องนำเอาเด็กใส่ถังสองร้อยลิตร แล้วจึงนำถังดังกล่าว ใส่รถบรรทุกไปกับสินค้า ขนข้ามแดนกลับไปสู่ประเทศจีน ซึ่งทำให้ผมนึกมโนภาพออกเลยว่า น้องคงจะอกสั่นขวัญแขวนขนาดใหน ต่อไปคงจะไม่เชื่อใจใครง่ายๆ แล้วละครับ
อีกคนหนึ่ง ซึ่งอดีตเคยทำงานอยู่กับผม ซึ่งเธอเป็นสาวโสดชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกผมว่า ถ้าผมจะเข้าไปกรุงย่างกุ้งเมื่อไหร่ ให้บอกเธอด้วย เธออยากจะไปท่องเที่ยวและไปไหว้พระมหาเจดีย์ชเวดากองด้วย ผมจึงโทรไปถามเธอว่า ต้นเดือนผมจะเข้าไปกรุงย่างกุ้ง เธอสนใจจะไปด้วยมั้ย?
เธอบอกว่าช่วงนี้คงไปด้วยไม่ได้ เพราะถ้าเธอไปเมียนมา ต่อไปเวลากลับประเทศจีน เธออาจจะมีปัญหาแน่ๆ เพราะทางการจีนช่วงนี้เพ่งเล็งประชาชนของเขา โดยเฉพาะคนวัยรุ่น ถ้าไม่มีเหตุผลในการเดินทางที่เพียงพอ จะถูกเหมารวมว่าอาจจะมาทำธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ หรือธุรกิจสีเทาๆ ต้องคอยหาหลักฐานมาชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งยุ่งยากมาก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทยหลายๆ ประเทศ จะโดนเหมือนกันหมด
ผมถามไปว่า แล้วที่ผ่านมาเธอเข้าออกไทยเป็นว่าเล่น บ้างครั้งเวลาวีซ่าหมดอายุ ยังเดินทางเข้าไปประเทศเพื่อนบ้านไทย ทางด่านชายแดน เพื่อไปต่ออายุวีซ่า ด้วยการอ้างเหตุเดินทางออกนอกประเทศไทยแล้ว อย่างนั้นไม่มีปัญหาเหรอ? เธอตอบว่าปัจจุบันนี้ยากกว่าเดิมมาก เพราะปัญหาไม่ใช่เกิดจากประเทศไทย แต่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เธอถือสัญชาติอยู่ครับ
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวจากทางชายแดนอำเภอแม่สอดออกมาว่า ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้มีการประกาศยกเลิกสัญญาขายไฟฟ้า เข้าไปให้ฝั่งเมือง Shwe Kokko โดยจะเริ่มตั้งแต่หลังวันที่ 6 มิถุนายนเป็นต้นไป ซึ่งที่นั่นเป็นเมืองกาสิโนตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเมียวดี โดยห่างจากเมืองเมียวดีไปประมาณ 20 กิโลเมตร อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับอำเภอแม่สอด
ตามข่าวการตัดสินใจดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ได้ดำเนินการขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในกรุงเทพฯ ปิดการจ่ายไฟให้กับ Lay Kay Kaw และ Shwe Kokko ในเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งการตัดสินใจยกเลิกสัญญาการจ่ายไฟฟ้าครั้งนี้ ถ้าผมเดาไม่ผิด น่าจะได้รับคำขอมาจากมิตรประเทศ(จีน)อย่างแน่นอน เพราะช่วงหลังมานี้ ทางการจีนเขาเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามธุรกิจสีเทาๆ เช่น กลุ่มการพนันออนไลน์และกลุ่มคอลเซ็นเตอร์
อย่างไรก็ตาม ในความคิดของผม คิดว่าการใช้วิธีตัดไฟฟ้า น่าจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องนัก เพราะว่าธุรกิจที่อยู่ในประเทศเมียนมา ทุกบริษัทจะต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าใช้ทุกที่อยู่แล้ว แม้แต่บ้านบุคคลทั่วไป เขาก็ติดตั้งเครื่องปั่นไฟฟ้าเล็กๆ กันก็มีมิใช่น้อย ดังนั้นเมืองดังกล่าว อย่างน้อยๆ พวกเขาน่าจะต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 10 เครื่องขึ้นไปอย่างแน่นอนครับ
จะเห็นว่า กลุ่มมิจฉาชีพ เขาไม่ได้ละเว้นประเทศใดเป็นพิเศษหรอกครับ มันอยู่ที่การเข้มงวดกวดขันของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นหลัก ถ้าที่ไหนเข้มข้นจนเขาอยู่ยาก เขาก็จะโยกย้ายไปหาที่ๆทำงานง่ายๆ เป็นธรรมดาครับ