แบรนด์จีนบุกตลาดทีวีไทย'ไฮเออร์-ทีซีแอล-ไฮเซ่นส์'ปักหมุดแย่งแชร์ค่ายญี่ปุ่น
ตลาดทีวี 3 หมื่นล้านระอุ แบรนด์ยักษ์แดนมังกรดาหน้าเปิดเกมรุกบุกไทย “ไฮเออร์” จ่อลอนซ์ทีวีบิ๊กไซซ์ปีหน้า เล็งส่งแคมเปญใหญ่ปลายปีนี้ แต่รอดูความเหมาะสมหวั่นกระทบความรู้สึกคนไทย ฟาก “ทีซีแอล” จัดโปรแรงฉลองครบ 13 ปีหวังกระตุ้นยอดขายโค้งท้าย ด้านน้องใหม่ “ไฮเซ่นส์” ปูพรมขายผ่านเทสโก้ โลตัส ก่อนกระจายทั่วประเทศ วางเป้าติดท็อป 3 ใน 5 ปี
นายหยาง เสี้ยวหลิน ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไฮเออร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า “ไฮเออร์” จากประเทศจีน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แนวโน้มการแข่งขันของตลาดทีวีในเมืองไทยยังคงสูงต่อเนื่อง โดยมีผู้เล่นใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก และแต่ละแบรนด์ล้วนมีความแข็งแกร่ง ในการนำเสนอสินค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะความต้องการด้านพื้นฐานของการดูทีวี ซึ่งปัจจุบันทีวีไม่ได้เป็นแค่เครื่องรับชมรายการโทรทัศน์หรือดูภาพยนตร์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และใช้แอพพลิเคชั่นอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงยังสามารถเล่มเกมส์ จองตั๋วภาพยนตร์ ฯลฯ ทำให้สมาร์ททีวีได้รับความนิยมมากขึ้น
ดังนั้นแผนการทำตลาดในปีหน้าบริษัทได้เตรียมเปิดตัวทีวีกลุ่มใหม่ออกมารองรับตลาด เน้นไปที่ Android TV และ 4 K โดยจะทะยอยเปิดตัวตั้งแต่ไตรมาส 1 เป็นต้นไป ในกลุ่มทีวีจอใหญ่ ที่มีขนาดตั้งแต่ 49 - 65 นิ้ว เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยไฮเออร์จะให้ความสำคัญกับสินค้าและการบริการเป็นตัวขับในการเคลื่อนหลัก เพื่อฉีกภาพให้ต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน เน้นสร้างคุณลักษณะพิเศษให้กับสินค้า เช่น ดีไซน์ที่บางเฉียบ เหมาะกับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยคอนโดขนาดเล็กของคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ยังเน้นเรื่องความละเอียดของภาพ แถมยังรองรับฟังก์ชั่นถนอมสายตา ขณะในส่วนของการบริการหลังการขาย บริษัทก็พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ด้วยการรับประกันคุณภาพสินค้าตัวเครื่อง 3 ปี และจอภาพนานถึง 1 ปีเต็ม
ขณะที่ในไตรมาส 4 นี้ เดิมบริษัทมีแผนในการกระตุ้นตลาดช่วงปลายปี แต่เนื่องจากประเทศไทยเกิดเหตุการณ์การสูญเสียอันยิ่งใหญ่ เบื้องต้นคงจะต้องปรับเปลี่ยนแคมเปญให้เหมาะสมกับความรู้สึกของคนไทยด้วย ส่วนงบประมาณการตลาดที่เตรียมไว้จะปรับและนำไปใช้ในการตกแต่งร้านค้าเพื่อขยายช่องทางการตลาดและเตรียมพร้อมการขยายตัวของแบรนด์ในปีหน้า
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายทีวีในปีนี้ประมาณ 230 ล้านบาท เติบโต 3-4 % จากกลุ่มสินค้าอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยขณะนี้ไฮเออร์ยังเป็นน้องใหม่ของตลาดกลุ่มจอภาพและเสียง (เอวี) ดังนั้นจึงยังไม่มีการวางเป้าหมายยอดขายไว้สูง โดยช่วงนี้อยู่ในระยะทดลองตลาดและสร้างความคุ้นเคยกับผู้บริโภคไปก่อน
ด้านนายทอมมี่ หยาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีซีแอล อิเลคทรอนิกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ TCL (Thailand) ผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “TCL” ประเทศจีน กล่าวว่า ตลอดเดือนตุลาคมนี้บริษัทได้จัดแคมเปญกระตุ้นตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายพร้อมกับการฉลองโอกาสครบรอบ 13 ปีที่ทีซีแอลได้ดำเนินการในประเทศไทย บริษัทจึงได้จัดแคมเปญนี้ขึ้นตลอดเดือนตุลาคมนี้ ด้วยการรวมโปรโมชั่นไว้มากมากมาย อาทิ ซื้อ 1 แถม 1 ฟรี เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ TCL สมาร์ททีวี QUHD LED65H9800 ขนาด 65 นิ้ว ราคา 6.99 หมื่นบาท รับฟรี TCL DigitalTV ขนาด 32 นิ้ว ราคา 6,690 บาท ฯลฯ รวมทั้งมีแคมเปญออนไลน์ ลุ้นทีวี TCL เครื่องใหม่ในแฟนเพจเฟซบุ๊กเพียงแชร์กิจกรรม “ทีวีเก่า: เล่า ลุ้น ใหม่” เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขาย และคืนกำไรให้กับผู้บริโภคชาวไทยทั้งในฐานลูกค้าเดิมเพื่อให้เกิดความจงรักภักดีต่อแบรนด์ และกลุ่มลูกค้าใหม่เพื่อเป็นอีกทางเลือกที่คุ้มค่าในราคาที่กล้าตัดสินใจเลือกซื้อ
โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายจากแคมเปญนี้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ขณะที่ทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้ราว 2,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 1,600 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 10% เป็นอันดับ 3 ของตลาดสมาร์ททีวี หลังจากที่บริษัทให้ความสำคัญและนำเทคโนโลยีขั้นสูง QUHD TV Series เข้ามาจับตลาดไฮเอนด์ จนกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทมียอดขายและส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังซบเซารวมถึงมีการแข่งขันที่รุนแรง
ขณะที่นางสาวแคทลีน ฟาง รองประธาน บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “ไฮเซ่นส์” ประเทศจีน กล่าวว่าบริษัทเริ่มทดลองทำตลาดกลุ่มแอลอีดีทีวีตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มทีวีดิจิตอลขนาด 32 และ 40 นิ้ว กลุ่มสมาร์ททีวี ขนาด 32, 40 และ 50 นิ้ว รวมถึงกลุ่มทีวีเทคโนโลยี 4K โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 8,590 - 2.79 หมื่นบาท เบื้องต้นจะเน้นจำหน่ายผ่านทางเทสโก้ โลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ต 95 แห่ง และจะขยายให้ครบ 120 แห่งทั่วประเทศ พร้อมกับขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังรูปแบบอื่นๆ เช่น ตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงร้านสเปเชียลตี้สโตร์ อย่างเพาเวอร์บาย และเพาเวอร์มอลล์เป็นต้น
“ปัจจุบันภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยที่ผ่านมา พบว่ามีการเติบโตต่อเนื่องทั้งยังมีการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทีวี ที่มีมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการแข่งขันจากแบรนด์ชั้นนำต่างๆ จากต่างประเทศ รวมถึงแบรนด์ภายในประเทศ ดังนั้นด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ไฮเซ่นส์ที่มีอยู่ จะทำให้สามารถแข่งขันกับแบรนด์ญี่ปุ่นได้ไม่ยากนัก”
สำหรับเป้าหมายยอดขายปีแรก รวมทั้ง 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่ แอลอีดีทีวี เครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น คาดว่าจะทำได้ 700-800 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,500-4,000 ล้านบาท และติด 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดทีวีของไทยในช่วง 5 ปี ทั้งนี้ ไฮเซ่นส์ เป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศจีน โดยมียอดขายในกลุ่มทีวีเป็นอันดับ 3 ของโลก และอันดับ 1 ในประเทศจีนติดต่อกัน 13 ปี หรือคิดเป็นจำนวน 10 ล้านเครื่องต่อปี เทียบกับตลาดรวมทีวี 48 ล้านเครื่องในประเทศจีน
รองประธานไฮเซ่นส์ฯ กล่าวอีกว่า นโยบายของบริษัทนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับารขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น หลังจากที่ทำตลาดไปแล้วที่มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และล่าสุดเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และประสบความสำเร็จในตลาดกว่า 130 ประเทศทั่วโลก โดยมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้ และเป็นเบอร์ 2 ในอเมริกา เพราะประะเทศไทยมีความได้เปรียบด้านภูมิประเทศหรือสถานที่ตั้งของประเทศที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ทำให้บริษัทตัดสินใจจัดตั้ง บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทอันดับที่ 17 ที่เข้าไปจัดตั้งบริษัท โดยมีเป้าหมายที่จะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการทำตลาดและผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเซ่นส์ในกลุ่มประเทศอินโดจีนและซีแอลเอ็มวี ภายใต้แผนงาน 3-5 ปีจากนี้ ที่จะก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยด้วย
สำหรับแผนและกลยุทธ์การทำตลาดในประเทศไทยนั้น บริษัทจะอาศัยนวัตกรรมใหม่ๆ ภายใต้งบการวิจัยและพัฒนา 5% ของยอดขายรวม ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี รูปแบบดีไซน์ที่ทันสมัย รวมถึงบริการหลังการขาย หรือการรับประกันสินค้านานถึง 3 ปี โดยนำร่องกลุ่มสินค้าแอลอีดีทีวีเข้ามาทำตลาดเป็นกลุ่มแรก และในปีหน้าจะทยอยเพิ่มในกลุ่มสินค้าอื่นๆ มาทำตลาด ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น รวมถึงกลุ่มโทรศัพย์มือถือ และตู้แช่ในอนาคต
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,204 วันที่ 27 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559