MALEE ตั้งฐานผลิตเวียดนาม

27 ม.ค. 2561 | 03:05 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ม.ค. 2561 | 10:05 น.
มาลีกรุ๊ปสยายปีกบุกอาเซียน ทุ่มเงิน 330 ล้าน เทกโอเวอร์ยักษ์เครื่องดื่มในเวียดนาม หวังใช้เป็นฐานผลิตประเทศเกิดใหม่ มั่นใจเพิ่มยอดขายต่างประเทศเป็น 60% ภายใน 3 ปี

นายโอภาส โลพันธ์ศรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ด้วยเป้าหมายในการ เป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพระดับโลก ล่าสุดบริษัททุ่มเงิน 330 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการบริษัทร่วมทุน ลอง ควน เซฟ ฟู้ด จำกัด (Long Quan Safe Food Joint Stock Company) ผู้ผลิตเครื่องดื่มในเวียดนาม ด้วยสัดส่วน 65% โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมฐานการ ผลิตเครื่องดื่มสำหรับตลาดประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับยอดขายต่างประเทศให้เพิ่มขึ้นเป็น 60% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 40% ภายใน 3 ปี

[caption id="attachment_253231" align="aligncenter" width="356"] โอภาส โลพันธ์ศรี โอภาส โลพันธ์ศรี[/caption]

“การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตเครื่องดื่มของบริษัทเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางจนถึงระดับทั่ว ไปในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมในการรุกตลาดระหว่างประเทศ และผลักดันให้มาลีกรุ๊ปก้าวขึ้นสู่ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพระดับโลกในปี 2564”

728x90-03-3-503x62-3-503x62 การเข้าซื้อกิจการของลอง ควน เซฟ ฟู้ดเพราะมองว่า เวียดนามเป็นตลาดที่มีศักยภาพแข็งแกร่ง โดยลอง ควน เซฟ ฟู้ดเป็นบริษัทที่ก่อตั้งและดำเนินธุรกิจมากว่า 25 ปี เป็นที่รู้จักและมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งมีสายการผลิตครบวงจร มีกำลังการผลิต 300 ล้านลิตรต่อปี ทั้งในกลุ่มนํ้าดื่ม เครื่องดื่มอัดก๊าซ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเยลลี่ในรูปแบบกระป๋อง ขวดพลาสติก ถ้วยพลาสติกและขวดแก้ว ซึ่งการร่วมทุนดังกล่าว จะทำให้มาลีกรุ๊ปมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 630 ล้านลิตรต่อปี อีกทั้งยังสร้างความได้เปรียบในเรื่องการแข่งขัน ราคา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเจาะตลาดในประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคอาเซียนด้วย

บาร์ไลน์ฐาน นายโอภาส กล่าวอีกว่า ลอง ควน เซฟ ฟู้ด มีความแข็ง แกร่งด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ที่ครอบคลุมประเทศเวียดนาม ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งและการกระจายสินค้าเข้าถึงทุกภาค โดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งจากการเริ่มต้น เป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างประเทศมากว่า 3 ปี ช่วยสร้างการเติบโตและการเข้าถึงได้เป็นอย่างดี ขณะที่การขยายตลาดไปยังประเทศเกิดใหม่ในอาเซียน บริษัทยังคงมุ่งเน้นการร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่น เช่น การร่วมทุนกับบริษัท มอนเด นิชชิน คอร์ปอเรชั่น ในประเทศฟิลิปปินส์ และบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย ในการทำตลาดอินโดนีเซียด้วย

“การร่วมทุนเป็นการทำกลยุทธ์แบบสร้างเครือข่ายในระดับภูมิภาคด้วยการนำเอาจุดแข็งของพันธมิตรในแต่ละประเทศมาเสริมแกร่งซึ่งกันและกัน อันจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดและยั่งยืนได้ในระดับภูมิภาค”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,334 วันที่ 25 - 27 มกราคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-11-503x62