เครือข่ายหยุดพนันจับมือกองสลาก ปลุกสำนึกผู้ซื้อ ไม่ยอมรับสลากเกินราคา หวั่นค่านิยมยอมซื้อสลากแพงเท่ากับยอมรับการโกง ชี้ส่วนต่างนับพันล้านต่อเดือนไม่ได้เข้ารัฐ
-28 มี.ค.61-วันนี้(28 มี.ค.61) เวลา10.00 น. ที่ลานวิคตอรี่พอยท์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ร่วมกับ เครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จัดกิจกรรมรณรงค์รักษาสิทธิ์ผู้บริโภคไม่ซื้อสลากเกินราคา ตั้งคำถาม “ยอมให้โกงป่ะ”ปลุกผู้ซื้อไม่ยอมให้โกง ไม่ซื้อสลากเกินราคา ภายในงานมีการแสดงละคร พร้อมมอบเกียรติบัตรให้กับทีมนักศึกษาที่สร้างสรรค์สื่อรณรงค์ “ไม่ซื้อสลากเกินราคา ไม่หนุนการโกง” และเดินรณรงค์แจกสื่อประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนทั่วไป
นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า มูลนิธิฯได้หารือกับบอร์ดสลากกินแบ่งรัฐบาลบางท่าน ถึงแนวทางการแก้ปัญหาสลากเกินราคาซึ่งทางสำนักงานสลากฯเอง พยายามใช้มาตราการต่างๆมาหลากหลายวิธี แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ราคาสลากลงมาอยู่ที่ 80 บาทได้ทั้งหมด แม้สลากใบจะเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เกินราคาดีขึ้นมาบ้าง แต่ระยะหลังสลากรวมชุดระบาดหนัก ราคาขายยิ่งแพง ส่วนหนึ่งมาจากผู้ขายที่ขายสลากแพง แต่ผู้ซื้อก็เป็นอีกฝ่ายหนึ่งที่สมยอม หากผู้ซื้อไม่ยอมซื้อ ผู้ขายก็ไม่สามารถขายสลากเกินราคาได้ จึงเห็นชอบร่วมกันว่าต้องรณรงค์ผู้ซื้อไปพร้อมๆกันกับมาตรการต่างของสำนักงานสลาก
“เหตุผลว่าทำไมผู้ซื้อจึงยอมซื้อสลากแพง คือ เพราะเป็นเลขเด็ดที่ตัวเองอยากได้จึงยอม เพราะสงสารคนขาย และคิดว่าอุดหนุนกิจการของรัฐจึงยอม โดยหารู้ไม่ว่าในแต่ละเดือนๆ มูลค่าของการยอมซื้อสลากเกินราคาคิดเป็นจำนวนเงินถึง 1,120 ล้านบาทเลยทีเดียว เทียบเท่ากับการที่ตูน บอดี้สแลม วิ่งด้วยความเหนื่อยยากถึง 55 วันจึงจะระดมเงินได้เท่านี้ แต่ขบวนการขายสลากเกินราคาไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรมากมาย เป็นเสือนอนกิน แต่ได้เงินไปมากเท่าๆกัน และเงินจำนวนนี้ก็ไม่ได้เข้ารัฐด้วย เราจึงได้จัดทำแคมเปญเพื่อตั้งคำถาม “ยอมให้โกงป่ะ!” ปลุกค่านิยมไม่ยอมให้โกง ไม่ซื้อสลากแพง เพราะการยอมซื้อสลากเกินราคาเท่ากับสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย เทียบได้กับการสนับสนุนการโกง เป็นการยอมให้โกงซึ่งๆหน้า ทุกๆ 15 วัน ทั้งๆที่รู้ตัว เพียงเพราะมีความหวังอยากรวยเปรี้ยง เลยยอมถูกเอารัดเอาเปรียบ จากการที่เครือข่ายได้สำรวจความเห็นประชาชนพบว่า การยอมซื้อสลากแพงนี้ เป็นหนึ่งในสิบเรื่องที่คนไทยรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบแต่ก็ยอม ทั้งนี้จะสนับสนุนให้เครือข่ายในทุกภูมิภาคจัดกิจกรรมรณรงค์ และได้สนับสนุนให้นักศึกษาจาก 3 มหาวิทยาลัยผลิตหนังสั้นเพื่อเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ โดยจะขอความร่วมมือจากสำนักงานสลากให้ช่วยเผยแพร่สื่อชุดนี้ในช่วงของการถ่ายทอดการออกรางวัลด้วย” นายธนากร กล่าว
นางสาวกันยกร ตุ้ยวงศ์ษา ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปฎิรูปสลากจังหวัดลำปาง กล่าวว่า สถานการณ์ราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดลำปางนั้น มีเพียงสลากใบเดียวเท่านั้นที่ราคา 80 บาท แต่ก็มีน้อยมาก ซึ่งผู้ค้าสลากส่วนมากจะนำสลากแบบรวมชุดมาจำหน่าย ในราคาเฉลี่ยใบละ100 บาท และยิ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด เช่น ภายในวัดบางแห่งราคาสูงถึงใบละ120 บาท ซึ่งจากการสอบถามผู้ซื้อส่วนใหญ่มักจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้ราคาจะสูงถึง 100 บาท ก็เป็นราคาที่ยอมซื้อเพราะเป็นเลขที่อยากได้
“คนส่วนใหญ่มักจะยอมซื้อสลากเกินราคาเพราะคิดว่าเป็นเลขที่เขาอยากได้ และมักจะคิดว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่กี่บาทเอง ส่วนตัวนั้นมองว่า การได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์รักษาสิทธิ์ผู้ซื้อสลากนั้นเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งทางทางเครือข่ายพื้นที่จังหวัดลำปางนั้น จะจัดเวทีเรียนรู้เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับชาวบ้าน และสร้างความตระหนักด้วยการเดินการรณรงค์แจกสื่อที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ในพื้นที่สำคัญๆในจังหวัดลำปาง” นางสาวกันยกร กล่าว
ขณะที่ นายอาเซียน ธนุกาลกุล นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ตัวแทนทีมผลิตคลิปรณรงค์ กล่าวถึงแนวคิดการทำคลิปรณรงค์ “ยอมให้โกงปะ” ว่า ทางทีมต้องการทำไวรอลคลิปนำเสนอออกมาให้สั้นและชัดเจนแต่ตรงประเด็น ในแนวสนุก น่ารัก เพราะมองว่าคนไทยชอบหนังแนวสนุกสนานผ่อนคลาย และต้องการสื่อสารไปสู่คนทุกเพศทุกวัยเพราะอยากให้ทุกคนรณรงค์เรื่องสิทธิ์ของตัวเอง และรับรู้ว่า การซื้อสลากเกินราคาคือการสนับสนุนการโกงแบบไม่รู้ตัว และเกิดการตระหนักช่วยๆกันเตือนหรือช่วยๆ กันแชร์ออกไป บอกพ่อแม่เขาให้เลิกซื้อสลากฯเกินราคาเถอะ
“การขายสลากฯ เกินราคามันแก้ที่ตัวคนขายไม่ได้ทั้งหมด เพราะคนขายก็อยากได้กำไร คือเราไปบอกคนขายทุกคนให้หยุดหรือเลิกขายสลากฯ เกินราคาไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ที่ทำได้ คือเข้าทางผู้ซื้อ ไม่ให้เขามีส่วนกับการโกง หรือไม่ให้เขายอมถูกโกงอีกต่อไป เราต้องกลับมาตั้งคำถามว่า บางเรื่องเราไม่ยอมถูกเอาเปรียบ แต่ทำไมเรายอมซื้อสลากโดยไม่ต่อราคาสักคำ ทั้งๆที่รู้ว่ามันขายเกินราคา และที่สำคัญทุกคนต้องร่วมกันรณรงค์ผ่านสื่อให้เกิดการรับรู้ให้มากที่สุดครับ” นายอาเซียน กล่าว