แหล่งข่าวผู้ประกอบการเรือประมง เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า
เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา มีเรือประมงโชคเดชา ขนาด 41.93 ตันกรอส ขนาดยางตลอดลำ 17.25 เมตร กว้างกลางลำ 5.05 เมตร ลึก 2.45 เมตร มีสัตว์น้ำ น้ำหนักประมาณ 2,989 กิโลกรัม (น้ำหนักจากสมุดบันทึกทำการประมง) ตำแหน่งที่พบของกลางแพเจ้เหนียว เลขที่ 321 หมู่ที่ 9 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เครื่องมือประมงอวนลากแผ่นตะเฆ่ ขนาดเครื่องมือยาง 48 เมตร จำนวน 1 ปาก โดยเรือดังกล่าวนี้จะนำเรือเข้าเทียบท่าในวันดังกล่าว เวลา 09.30 น. ไม่พบเรือดังกล่าว ณ ท่าเทียบเรือเจ้เหนียว แต่มองเห็นเรือดังกล่าวจอดอยู่ที่ท่าเทียบเรือเดชสมุทร หมู่ที่ 4 ต.ท่าศาล อ.ท่าศาลาจังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตรวจสอบแล้วไม่ใช่ตรงกับท่าเทียบเรือที่แจ้งไว้
จากการสอบสวนเบื้องต้น นายท้ายเรือให้การว่า ทำงานบนเรือลำนี้ประมาณ 1 เดือน ได้ออกทำการประมงเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2562 โดยคาดว่าจะกลับเข้าฝั่งในวันที่ 15 ก.พ. 2562 แต่เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2562 ได้แจ้งนำเรือเข้าฝั่ง ณ ท่าเทียบเรือแพเจ้เหนียว ในเวลา 09.30 น. แต่กลับนำเรือไปเข้าท่าเทียบเรือเดชสมุทร เนื่องจากคิดว่าเจ้าหน้าที่ไม่ตรวจเรือในครั้งนี้ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เรียก ณ ท่าเทียบเรือแพเจ้เหนียว ฝั่งตรงข้ามจึงนำเรือพร้อมลูกเรือมาให้พบเจ้าหน้าที่ให้ตรวจ พร้อมยอมรับว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งตนเองทราบอยู่
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ทางเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งให้ทราบว่าเป็นการกระทำผิดตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 81(3) เป็นเจ้าของเรือที่จดทะเบียนตามกฎหมาย (ทะเบียนเรือ 269019709) ว่าด้วยเรือไทย ประเภทการใช้ทำการประมง และมีขนาดตามที่รัฐมนตรีประกาศ (41.93 ตันกรอส) ไม่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนด กล่าวคือ ไม่นำเรือที่แจ้งเข้าไปเทียบท่า ณ ท่าเทียบเรือที่แจ้งไว้ บทลงโทษมาตรา 152 ผู้ใดทำการประมงหรือขนถ่ายสัตว์น้ำโดยไม่ได้รายงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 81(3) ถ้าผู้ใดกระทำผิดตามวรรคหนึ่ง ใช้เรือตั้งแต่ขนาดตั้งแต่ 20 ตันกรอสขึ้นไป แต่ไม่ถึง 60 ตันกรอส ต้องระวางโทษปรับ 1 แสนบาท