‘สตีเบล’ดันไทยฐานเอเชียแปซิฟิก
สตีเบลมั่นใจศักยภาพไทยหลังทุ่ม 200 ล้านบาทขยายโรงงานแห่งที่ 2 แล้วเสร็จ พร้อมเดินเครื่องผลิตเต็มสูบดันไทยฐานการผลิตและส่งออกหลักของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในปีหน้า
นายโรลันด์ เฮิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตีเบล เอลทรอน เอเซีย จำกัด ผู้ผลิตเครื่องทำนํ้าอุ่น เครื่องกรองนํ้า เครื่องเป่ามือ ปั๊มความร้อนและปั๊มนํ้าจากประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในช่วงปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายเติบโตได้เป็นอย่างดีทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทเดินหน้ารุกตลาดพร้อมขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยแผนงานหลักนับจากนี้จะเป็นการเริ่มสายพานการผลิตของโรงงานในจ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากช่วงที่ผ่านบริษัทได้ลงทุนขยายโรงงานที่ 2 ของสตีเบล เอลทรอนในประเทศไทยด้วยเงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามแผนงานที่วางไว้
ทั้งนี้โรงงานดังกล่าวเป็นส่วนขยายของโรงงานเดิมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น พร้อมปรับกระบวนการการผลิตที่ส่งเสริมความยั่งยืน นอกจากนี้ยังรองรับการผลิตเครื่องทำนํ้าอุ่นนํ้าร้อนแบบหม้อต้ม และปั๊มความร้อน เพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการขยายกำลังการผลิตร่วมกับการส่งเสริมการตลาด และการขยายช่องทางการขาย ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของบริษัทที่ใช้เพื่อขยายการเติบโตในประเทศไทยไปจนถึงระดับภูมิภาค โดยวางเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็นฐานการผลิตและส่งออกหลักของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และประเทศอื่น ๆ นอกภูมิภาค ภายในปี 2563
ล่าสุดบริษัทได้ประกาศเป็นพันธมิตรให้การสนับสนุนสโมสรฟุตบอลโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (Borussia Dortmund) สโมสรฟุตบอลชื่อดังจากประเทศเยอรมนี เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ให้เพิ่มมากขึ้นแก่ทั้ง 2 องค์กร โดยสัญญานี้จะมีผลในประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งแผนงานการสร้างแบรนด์นับจากนี้ได้เตรียมจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อสื่อสารแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายในทั้ง 2 ประเทศ ทั้งการนำมาสคอต และนักเตะในตำนานของสโมสรฟุตบอลโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์มาเข้าร่วมในกิจกรรมรวมไปถึงการจับรางวัลผู้โชคดีของสตีเบล เอลทรอน และสโมสรฟุตบอลโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เพื่อลุ้นบินไปชมการแข่งขันติดขอบสนามที่ประเทศเยอรมนี รวมถึงในเอเชียด้วย
หน้า 30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3501 ระหว่างวันที่ 1 - 4 กันยายน 2562