"ประภัตร” หนุน “มกอช.” สู่องค์กรนำด้านมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารที่ทั่วโลกยอมรับ พร้อมโชว์ผลงานรอบ 17ปี ผลักมาตรฐานสินค้าเกษตรสำเร็จ 322 เรื่อง มาตรฐานระหว่างประเทศ 22 เรื่องและมาตรฐานอาเซียน 12 เรื่อง ดันยอดส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารพุ่ง 1.12 ล้านล้าน พร้อมวางเป้าปี63 เดินหน้าหนุนยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ 20 ปี สานต่อนโยบายตลาดนำการผลิต รุกเกษตรอินทรีย์ ตีตลาดผ่านออนไลน์ เสริมแกร่งภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน
วันที่ 9 ต.ค.62 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยหลังจากเป็นประธานเปิดงาน วันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)ครบรอบ 17ปีว่า ปัจจุบัน“มกอช.”นับเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและเป็นกลไกลสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการตลาดนำการเกษตรตามนโยบายหลัก 12 ด้านที่รัฐบาลแถลงไว้ โดยในปี 2563เป็นปีแห่งการยกระดับคน/และการบริหารจัดการมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่เกษตร 4.0 จะมุ่งยกระดับด้านระบบมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัย สนับสนุนตลาดนำการผลิต มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ตลาดออนไลน์ /DGT Farm/ และระบบตามสอบย้อนกลับ QR Trace รวมทั้งเป็นปีที่กระทรวงเกษตรฯต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ก้าวทันการแข่งขันทางการค้า เศรษฐกิจ และกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรตามยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ 20 ปี
“วางนโยบายกำหนดให้ "มกอช.ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนในการเร่งยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยให้เป็นมาตรฐานระดับสากลมาก ตั้งแต่ระดับไร่นาจนถึงผู้บริโภค/ ตลอดจนการเจรจา แก้ไขปัญหาทางการค้าเชิงเทคนิค เพื่อปรับปรุงและยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้ได้มาตรฐาน/เพื่อให้มีคุณภาพ/และความปลอดภัย ตามมาตรฐานสากล ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า “เป็นองค์กรนำด้านการมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารที่ทั่วโลกยอมรับ”
ด้านนางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวถึงผลงานของมกอช.ในรอบ 17ปีว่า มกอช.มีบทบาทสำคัญในการเป็นหน่วยงานกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศ (National Standardization Body: NSB) เพื่อให้มาตรฐานที่กำหนดขึ้นมีความเหมาะสม ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ส่งผลให้ปัจจุบันมีการประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรแล้ว 322 ฉบับ แบ่งเป็นมาตรฐานสมัครจำนวน 316 เรื่อง พืช 118 เรื่องเกษตรกรอินทรีย์ 9 เรื่อง ปศุสัตว์ 82 เรื่อง
ประมง 60 เรื่อง และอื่นๆ 47 เรื่อง และมาตรฐานบังคับ 6 เรื่อง คือ 1.เรื่องข้อกำหนดปริมาณอะฟลาทออกซินในเมล็ดถั่วลิสง 2.เรื่องการปฏิบัติที่ดีทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีสำหรับฟาร์มผลิตลูกกุ้งขาว3.เรื่องกระบวนการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ได้ออกไซด์ 4.เรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับการผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง5.เรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และ6.เรื่อง การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มไก่ไข่
นางสาวจูอะดี กล่าวว่า ยังมีการร่วมกำหนดมาตรฐานองค์กรระหว่างประเทศรวม 34 เรื่อง แบ่งเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศ 22 เรื่องและมาตรฐานอาเซียน 12 เรื่อง และยังได้เจรจาสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรไทยรวม 18 เรื่อง แบ่งเป็นการเจรจาเพื่อเปิดตลาดสินค้าเกษตร 7 เรื่องและการแก้ไขปัญหาการส่งออก 11 เรื่อง ส่วนด้านการควบคุม กำกับดูแลมาตรฐานสินค้าเกษตรและการส่งเสริมมาตรฐานได้ออกใบอนุญาตนำเข้า/ส่งออกตามมาตรฐานบังคับแกผู้ประกอบการจำนวน 1,101 ราย แบ่งเป็นโรงรมซัลเฟอร์ จำนวน 375ราย อะฟลาทอกซินถั่วลิสงจำนวน 115 ราย ลูกกุ้งขาวจำนวน 88 ราย ทุเรียนแช่เยือกแข็ง จำนวน 222 ราย ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบจำนวน 194รายและเชื้อเห็ดจำนวน 107ราย
ควบคู่กับการเชื่อมโยงการผลิต-การตลาดสินค้าQ ในตลาด 3 ประเภท แบ่งเป็น1.ตรวจรับรองแหล่งจำหน่ายสินค้ามาตรฐานโครงการร้านอาหารวัตถุดิบปลอดภัยเลือกใช้สินค้า Q (Q restaurant) 3,200 สาขา Q Market 893 แผง Q Modern Trade 697 แผง 2.ระบบ QR Trace on Cloud 1,048 ราย 3.ตลาด DGTFarm.com 1,739 รายแบ่งเป็นผู้ขาย 818 รายและผู้ซื้อ 921 ราย
ที่สำคัญยังได้การรับรองสถานที่จำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ จำนวน 282 แห่ง พัฒนาต้นแบบโรงสีข้าว/โรงคัดบรรจุ GMP จำนวน 5 แห่ง และพัฒนาระบบการรับรองแบบกลุ่มสู่การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ 20 กลุ่มใน 8 จังหวัด ส่วนด้านการดำเนินการตามนโยบายเกษตรแปลงใหญ่นั้นได้มีการดำเนินการในพื้นที่ 19 จังหวัด โดยให้ความรู้ด้านการผลิตตามมาตรฐาน GAP จำนวน 6เรื่อง คือ ถั่วฝักยาว ถั่วลิสงหลังนา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดเมล็ดแห้ง GAP พืชอาหารและจิ้งหรีด แก่เกษตรกรรวมจำนวน 952 ราย และยังได้พัฒนาต้นแบบโรงงานแปรรูปมาตรฐาน 9 แห่ง(โรงสีข้าว 2แห่ง โรงคัดบรรจุผักผลไม้สด 6 แห่ง และโรงรวบรวมผักผลไม้สด 1แห่งอีกด้วย
“จากความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยตลอดระยะ 17 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรายใหญ่ของโลก ในปี 2561 มีมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหาร 1.12 ล้านล้านบาท ประเทศไทยจึงเห็นความสำคัญของกำหนดมาตรฐานสากล และเป็นผู้นำในการยกร่างมาตรฐานสินค้าเกษตรของไทยให้เป็นมาตรฐานระดับสากลสำเร็จมาแล้วหลายเรื่อง”
เช่น เงาะ ลองกอง กะทิ น้ำปลา ซึ่งแม้ประเทศผู้นำเข้าจะกำหนดมาตรการกีดกันทางการค้าที่มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในการนำเข้าสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย แต่ด้วยการนำมาตรฐานและระบบการตรวจสอบรับรองการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่ได้มาตรฐานสากลของไทย ไปใช้ในการผลิตและการตรวจสอบรับรองระบบการผลิตสินค้าภาคการเกษตร
โดยการบูรณาการร่วมกับกรมต่างๆของกระทรวงเกษตรฯ ตาม พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ.2551 เพื่อควบคุม กำกับ ดูแลความปลอดภัยอาหารอย่างเบ็ดเสร็จตลอดห่วงโซ่อาหารตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ (Food chain) เพื่อให้ได้สินค้าที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้สินค้าเกษตรและอาหารของไทยได้รับการยอมรับและมียอดส่งออกไปตลาดโลกขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศไทย รวมทั้งหน่วยรับรองระบบงานของ มกอช. ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นอีกด้วย”
นางสาวจูอะดี ยังได้กล่าวถึงผลงานด้านต่างประเทศด้วยว่า มกอช.ได้เร่งขับเคลื่อนแประชาสัมพันธ์มาตรฐานสินค้าเกษตรในเวทีโลก และแสวงหาความร่วมมือคู่ค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ โดยการเข้าร่วมงาน Natural Product Expo West (NPEW) ซึ่งเป็นงานสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความสำคัญเทียบเท่า International Green Week และมีโอกาสเติบโตทางการตลาดสูงที่สุด ซึ่งสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ค้าของไทยหลายราย รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือกับสำนักงานด่านการค้าของมลรัฐลอสแองเจลิส (LA Port) ที่เป็นท่าเทียบสินค้าใหญ่ที่สุดของทั้งฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ และของภูมิภาคอเมริกา
ซึ่ง LA Port ให้ความสนใจและเตรียมพัฒนาความร่วมมือด้านการค้า-มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชกับท่าเรือของไทย โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมและระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (Eastern Economic Corridor) ที่ผู้ประกอบการของไทยในปัจจุบันใช้เป็นท่าส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมากและในอนาคตมกอช.จะยังคงมุ่งมั่นผลักดันมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น รวมทั้งเร่งพัฒนาเกษตรกรให้มีขีดความสามารถในการผลิต แปรรูปและทำตลาดสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์4.0 ของรัฐบาลและยุทธศาสตร์กระทรวงเกษตร 20ปีอย่างเข้มข้นต่อไป