เศรษฐกิจโลกยังส่งสัญญาณผันผวนต่อ จากปัจจัยลบรุมเร้ารอบด้านทั้ง สงครามการค้า ปัญหาโรคระบาด หรือแม้กระทั่งปัญหาสงครามที่กำลังระอุในขณะนี้ โดยในส่วนของประเทศไทย แม้หลายกลุ่มธุรกิจจะไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติดังกล่าวมากนัก แต่ก็มีหลายภาคส่วนที่ยังคงต้องเฝ้าระวังทั้งกลุ่มโรงแรม ศูนย์การค้า ฯลฯ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจในย่านท่องเที่ยวที่ต้องพึ่งพากำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จึงต้องขยับตัว พร้อมรับมือ
นายประวิช จรรยาสิทธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ภูเก็ตสแควร์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง ภูเก็ต เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากปัญหาเงินบาทที่แข็งค่า และคาดว่าจะลากยาวไปหลายเดือน, สงครามการค้า, โรคปอดอักเสบจากจีน ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศที่ต้องอาศัยภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก ขณะที่นโยบายภาครัฐที่ขาดการสนับสนุนในเรื่องการท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว โดยภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกมองว่าต้องประเมินสถานการณ์ช่วงตรุษจีนอีกครั้งว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเข้ามามากน้อยขนาดไหน
“ธุรกิจค้าปลีก และโรงแรม ส่วนใหญ่ในจังหวัดภูเก็ต ที่ต้องพึ่งพิงภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก จึงมองว่าอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนโยบายที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างเม็ดเงินให้สะพัดในย่านท่องเที่ยวหลัก ขณะที่เรื่องค่าเงินบาทที่แข็งตัวคืออีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีนที่มีการจับจ่ายสูง ขึ้น 2,500-3,000 บาทต่อคนนั้นหายไป และเลี่ยงไปเที่ยวกลุ่มประเทศอื่นแทน โดยเฉพาะเวียดนามที่ทั้งนักท่องเที่ยว และกลุ่มผู้ลงทุน นักธุรกิจหันไปลงทุนมากขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ”
ทั้งนี้ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของศูนย์การค้าจังซีลอน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และ Expat 20% และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 80% โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเอเชียยังคงเป็นกลุ่มหลัก อาทิ จีน, มาเลเซีย, อินเดีย, เกาหลี, ญี่ปุ่น ฯลฯ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดียมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว นอกจากนั้นยังมีจาก ออสเตรเลีย รัสเซีย แอฟริกาใต้ และตะวันออกกลาง ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยทางศูนย์ได้เน้นการสื่อสารการตลาดแบบ Direct Marketing เพื่อโปรโมตและประชาสัมพันธ์ตรงกับกลุ่มนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ทั้งสื่อ Online และ Offline เช่น สื่อ Online Platform หลักๆ ของจีน, การโฆษณาในสื่อสนามบิน, Inflight Magazine ของสายการบินต่างๆ
นอกจากนั้นในปีนี้ บริษัทยังได้ทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ บริษัท เอเยนต์ทัวร์ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ Sea Tours, JTB และบัตรเครดิต, E-Payment นอกจากนั้นยังมีแคมเปญร่วมกับ Matrix Application สำหรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดียโดยเฉพาะ และยังได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้แก่ โปรแกรม “Passport Privilege 2019” และโปรแกรมเที่ยววันธรรมดา ราคา Shock โลก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและดึงลูกค้าชาวไทยมาท่องเที่ยวและช็อปปิ้งให้มากยิ่งขึ้น ผ่านอีเวนต์ทางการตลาด และแคมเปญโปรโมชันยังคงมีไม่ตํ่ากว่า 80 อีเวนต์ต่อเนื่องตลอดทั้งปี
พร้อมกันนี้ยังได้จับมือกับ บริษัท ดูซี่ ดิจิแล็บ จำกัด เปิดตัวโปรเจ็กต์ใหญ่อย่าง “Doozy Digital World” ด้วยงบการลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เปิดประสบการณ์ Interactive Amusement ให้แก่ผู้ที่เข้าชม ให้ได้ร่วมสัมผัสกับความสนุก ตื่นเต้น ในโลกของดินแดนเหนือจินตนาการแห่งโลกดิจิทัลอาร์ตให้มากที่สุด ผ่านแนวคิดและคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่จัดแสดงกว่า 2,500 ตร.ม. เพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวให้เข้ามาจับจ่ายและดึงดูดความสนใจมากขึ้น
ด้านนพ.ทัศนวัต สมบุญธรรม กรรมการบริหาร ธนิยะ กรุ๊ป ผู้บริหาร ธนิยะ พลาซา กล่าวว่า แม้ปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อจะค่อนข้างชะลอตัว แต่มองว่าในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ ซึ่งบางธุรกิจในบางเซ็กเมนต์ และบางโลเกชันยังสามารถเติบโตได้ เช่น ยกตัวอย่างแม้หลายคนจะมองว่าตัวเลขทางการท่องเที่ยวปีนี้ไม่ดี แต่ทว่าในเซ็กเตอร์ย่อยของธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ในบางโลเกชัน บางโรงแรมที่เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวหลัก ย่านท่องเที่ยวที่เทคโนโลยีเข้าถึง มือถือ สัญญาณโทรศัพท์ ก็ยังเป็นโอกาสกลุ่มที่มีการเติบโตที่ดีอยู่
ด้านการลงทุนในสภาวะเศรษฐกิจกำลังซื้อที่ชะลอตัว มองว่าถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่น่าลงทุนมากกว่า และเป็นโอกาสอันดีในการเจรจาธุรกิจใหม่ๆ เนื่องจากในช่วงที่เศรษฐกิจดีนั้นการลงทุนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก เนื่องจากต้นทุนสูง มีคู่แข่งจำนวนมาก แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีนั้นเป็นช่วงที่ควรจะลงทุน เพราะมีโอกาสและการลงทุนที่ตํ่ากว่า ซึ่งเมื่อมีโอกาสและศักยภาพก็ควรจะเตรียมพร้อมในการลงทุน
อย่างไรก็ตามในส่วนของทางกลุ่มเองได้เตรียมงบประมาณด้านการลงทุนช่วง 2-3 ปี นับจากนี้ไว้ราว 2,900 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณในการรีโนเวตโรงแรม 900 ล้านบาท (งบปีที่ผ่านมา) และงบประมาณในการรีโนเวตธนิยะ พลาซา อีก 1,000 ล้านบาท ในรอบ 30 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Future of Thaniya” เติมสีสันใหม่ตอกยํ้าการเป็นแลนด์มาร์กแห่งถนนสีลม เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้นจึงต้องปรับเปลี่ยนใหม่ให้มีความทันสมัย และดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น จากเดิมที่เป็นอาคารสำนักงานให้เช่า ก็จะเพิ่มร้านค้าขายสินค้า และอาหารต่างๆ มากขึ้น เพื่อรองรับพนักงานออฟฟิศที่บนถนนสีลม และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยวางเป้าหมายผู้ที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มเป็น 2-3 หมื่นคนต่อวัน จากปัจจุบันที่มีผู้เข้ามาใช้บริการ 7,000 คนต่อวัน
ขณะที่อีก 1,000 ล้านบาท จะเป็นงบประมาณในการเตรียมความพร้อมในการขยายธุรกิจสำหรับผู้สูงวัย เบื้องต้นอยู่ระหว่างการหาพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
“สีลมถือเป็นย่านศูนย์กลางที่มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ พนักงานออฟฟิศรวมถึงยังเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนเพื่อกระตุ้นลูกค้าในกลุ่มดังกล่าว พร้อมทั้งดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามามากขึ้นในย่าน”
หน้า 31-32 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,541 วันที่ 19-22 มกราคม 2563