จากราคาสินค้าอาหารของโลกโดยเฉพาะราคาข้าวที่ปรับตัวสูงสุดในรอบ 7 ปี จากประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ เช่น อินเดีย ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา(โควิด-19) ทำให้เกิดภาวะชะงักงันด้านการขนส่ง การกระจายสินค้า และการขาดแคลนแรงงาน ผู้ค้าข้าวของอินเดียจำเป็นต้องระงับการทำสัญญาส่งออกล็อตใหม่ ขณะที่ล็อตที่เซ็นสัญญาซื้อขายไว้แล้ว ก็กำลังเผชิญปัญหาส่งมอบได้ล่าช้า ส่วนกรณีของเวียดนาม รัฐบาลได้ประกาศจำกัดการส่งออกข้าวเพื่อไว้ใช้บริโภคในประเทศ ขณะที่ประเทศไทยผลผลิตข้าวได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ทำให้คาดผลผลิตจะลดลงจาก 32 ล้านตันข้าวเปลือกในปีที่ผ่านมา เหลือประมาณ 28 ล้านตันในปีนี้ ล่าสุดราคาข้าวขาว 5% ส่งออกของไทย(ราคาเอฟโอบี) ณ ปัจจุบันเฉลี่ยที่ 575-580 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน สูงสุดในรอบ 10 ปี(ข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย)
นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนา และเกษตรกรไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า จากหลายปัจจัยข้างต้น เวลานี้ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ ในส่วนของข้าวเปลือกเจ้าเกี่ยวสดความชื้น 25% ขึ้นไป โรงสีรับซื้อที่ 9,000-10,000 บาทต่อตัน ขณะที่ความชื้นไม่เกิน 15% ซื้อที่มากกว่า 10,000 บาทต่อตัน(10,500-10,900 บาท) ถือว่าสูงสุดในรอบ 5-7 ปี ส่งผลราคาข้าวสารที่โรงสีจำหน่ายขยับขึ้นจาก 11-12 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) เป็นระดับ 18 บาทต่อกก. ซึ่งจะส่งผลถึงราคาข้าวสารที่ขายในโมเดิร์นเทรด และร้านค้าข้าวทั่วไปจะขยับขึ้นแน่นอน
“ผู้บริโภคไม่ต้องห่วงว่าข้าวจะขาดแคลนไม่เพียงพอบริโภค เพราะยังมีข้าวรอบนาปรังรอเก็บเกี่ยวอีกเป็นล้านไร่ โดยชาวนาปลูกทั้งในพื้นที่ชลประทาน พื้นที่ที่ติดกับแม่น้ำที่ยังพอมีน้ำ หรือใช้น้ำจากการขุดบ่อบาดาล ซึ่งชาวนาก็ต้องทำนาเพราะเป็นอาชีพ ที่ไหนมีน้ำก็ต้องทำ ยิ่งได้ราคาดีก็ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ก็ขอให้ทุกฝ่ายยินดีกับชาวนาด้วย เพราะแต่ก่อนชาวนาขายข้าวเปลือกได้แค่ 5-6 พันบาทต่อตัน แทบไม่มีกำไร แต่หากขายได้ 8 พันบาทขึ้นไปชาวนาอยู่ได้”
อย่างไรก็ตามผลจากราคาข้าวเปลือกและข้าวสารขยับสูงขึ้นห่วงคนหาเช้ากินค่ำจะแบกรับภาระไม่ไหว เพราะปัจจุบันไม่ใช่เพียงข้าวที่ราคาปรับสูงขึ้น แต่ราคาสินค้า ข้าวของทุกอย่างเวลานี้ก็ขยับสูงขึ้น ยิ่งในสถานโควิด-19 ระบาด คนตกงานจำนวนมากรายได้ลดลง
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะจ่ายเงินเยียวยาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ข้อมูลเบื้องต้นที่ลงทะเบียนไว้ประมาณ 9 ล้านครัวเรือนนั้น ในข้อเท็จจริงในส่วนของชาวนามีมากกว่า 14 ล้านครัวเรือน ในส่วนที่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลเพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ทำนาเช่า ส่วนผู้ที่ขึ้นทะเบียนส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของนาที่ได้รับประโยชน์ ดังนั้นขอให้รัฐบาลได้ให้การช่วยเหลือให้ครอบคลุม โดยขอให้เกษตรตำบล เกษตรอำเภอ และเกษตรจังหวัดได้ตรวจสอบข้อมูล และรับขึ้นทะเบียนให้ตรงกับข้อเท็จจริง เพื่อให้ชาวนาตัวจริงที่ทำนาเช่าได้รับอานิสงส์ด้วย