นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทั้งนี้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 สำหรับประเทศไทยเข้าสู่เดือนที่ 2 ซึ่งไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน ในส่วนของอินเด็กซ์ฯ ได้มีการวางแผนกลยุทธ์เดินหน้าเอาชนะ COVID-19 ด้วยการเดินหน้าพลิกเกมกลับมาให้บริษัทสามารถยืนอยู่ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้นให้นานที่สุด โดยปัจจบันสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์โดยรวมมูลค่า 2.3 แสนล้านบาท นั้นจะติดลบไม่ต่ำกว่า 80% และคาดการณ์ว่าจะลากยาวไปจนถึงเดือนต.ค. และเริ่มดีขึ้นในปีหน้า และจะก่อให้เกิดอีเวนต์แบบไฮบริด คือออนไลน์ผสมอีเวนต์ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เริ่มมีมาในขณะนี้
ล่าสุด จึงได้แตกไลน์ธุรกิจสร้างแฟรนไชส์ ภายใต้ชื่อแบรนด์ KILL & KLEAN ผู้นำเทคโนโลยีเพื่อปกป้องคุณและคนที่คุณรัก เปิดให้บริการพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อแบบ Premium และ Nationwide Service เป็นเจ้าแรกของประเทศไทยที่มีมาตราฐานระดับนานาชาติ และมีเครือข่ายทั่วประเทศไทย พร้อมขยายสาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง เมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม
“ตลอดระยะเวลา 30 ปีของอินเด็กซ์ฯ ที่ได้จัดงานอีเว้นท์ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งการจัดงานแต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมงานตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านคน และสิ่งหนึ่งที่ทางบริษัทได้เรียนรู้จากการจัดงานในแต่ละครั้งคือ มาตรฐานเรื่องความปลอดภัยที่จะต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก และในงานระดับโลกมาตรฐานเรื่องสาธารณสุขก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งวันนี้ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID -19 ทางอินเด็กซ์ฯ จึงได้นำเอามาตรฐานเรื่องความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกนั้นกลับมาใช้ใประเทศไทยในรูปแบบธุรกิจอื่น”
สำหรับโมเดลแฟรนไชส์ดังกล่าวประกอบไปด้วย 3 โมเดลหลัก ได้แก่ โมเดลไซซ์ S ราคา 2 แสนบาท , M 2.5 แสนบาท และ L 3 แสนบาท และมีระดับราคาการให้บริการตั้งแต่ 1,500-7,000 บาท ตามขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 500-4,000 ตร.ม.โดยสามารถคืนทุนได้ใน 25 วัน โดยบริษัทมั่นใจว่าจากเทรนด์ New Normal ที่กำลังมาในขณะนี้จะผลักดันให้ธุรกิจทำความสะอาดมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นแม้จะมีผู้แข่งขันเข้ามาเล่นจำนวนมาก โดยธุรกิจทำความสะอาดแบบพรีเมียมจะได้รับความนิยมและมีการเติบโตเป็นอย่างมาก
“เราวางเป้าหมายขยายแฟรนไชส์ทั้งสิ้น 75 แฟรนไชส์ทั่วประเทศ กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆดังนี้ ได้แก่ ภาคกลาง 18 ราย,ภาคเหนือ 11 ราย,ภาคตะวันออก 7 ราย,ภาคอีสาน 23 ราย และภาตใต้ 16 ราย โดยบริษัทจะทำหน้าที่ในเรื่องของการตลาด โปรโมชั่น และการสร้างการเข้าถึงของอบแบรนด์ในความเป็นมาตรฐานด้านต่างๆ”