ข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) กวางโจว ประเทศจีน เปิดเผยให้เห็นถึงแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคของผู้หญิงชาวจีนปี 2563 ซึ่งอ้างอิงจากผลสำรวจของสถาบันวิจัย CBNData และ ข้อมูลสถิติจาก Toutiao สื่อออนไลน์ของจีน ต่างให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน ถึงความนิยมและพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคผู้หญิงชาวจีน ที่ยังให้ความสำคัญกับความงามและสุขภาพ เป็นอันดับต้นๆ แม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ตั้งแต่ต้นปี 2563 ยอดขายเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในจีนเพิ่มขึ้น 13% ในขณะที่บริการทางการแพทย์หรือศัลยกรรมความงาม ไม่ว่าจะเป็น การรักษา ริ้วรอย หรือการทำศัลยกรรมพลาสติก มีค่าเฉลี่ยเติบโตขึ้นถึง 24% ต่อปี
ผลสำรวจจากสถาบันวิจัย CBNData ระบุว่ากว่า 55% ของผู้หญิงที่ร่วมตอบแบบสำรวจ ต้องแต่งหน้าทุกวัน และไม่สามารถออกจากบ้านโดยไม่แต่งหน้าได้ 77% ของผู้หญิงกลุ่มนี้ให้เหตุผลว่า เพื่อทำให้ตัวเองมั่นใจและมีความสุขมากขึ้น และนอกจากเครื่องสำอางแล้ว อุปกรณ์เสริมสวยก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยสิ่งที่กำลังได้รับความนิยม ได้แก่ เครื่องล้างหน้า เครื่องนวดตา เครื่องนวดกระชับหน้า เครื่องถอนขน เครื่องนวดกระชับต้นขา และเข็มขัดกระชับหุ่น โดยการดูแลตัวเองเหล่านี้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่สาวๆ ชาวจีนยินดีสละเวลาให้ในแต่ละวัน
ส่วนด้านสุขภาพ พบว่าผู้หญิงยุคใหม่นิยมเข้าฟิตเนสเป็นจำนวนมาก โดยรูปแบบการออกกำลังกายที่นิยม ได้แก่ การวิ่ง/เดินเร็ว, โยคะ/พิลาทิส, การเต้น/แอโรบิค และเวทเทรนนิ่ง จากสถิติจาก Toutiao ในปี 2563 พบว่า มีจำนวนการอ่านข้อมูลเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายของผู้หญิงเพิ่มสูงขึ้น 24% โดยมีเนื้อหาตั้งแต่การออกกำลังกายขั้นพื้นฐาน อย่างการวิ่ง จนไปถึงการเข้าคลาสต่อยมวย มีการมองหาวิธีการออกกำลังกายรูปแบบใหม่ ๆ อยู่เสมอ ความน่าสนใจอยู่ที่ ช่วงหน้าท้อง เอว ต้นขา และสะโพก เป็นส่วนที่ผู้หญิงจีนต้องการลดและกระชับมากที่สุด
เพราะฉะนั้น ในช่วงนี้ที่จีนกำลังฟื้นตัวกลับสู่สภาวะปกติ คาดการณ์ว่าทางรัฐบาลจะสนับสนุนการใช้จ่ายภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทดแทนภาคส่งออกที่อาจหดตัวลง เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังคงไม่ดีขึ้น กลุ่มผู้บริโภคหญิงจึงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มผู้บริโภคหลักที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญ
ข้อมูลเชิงลึกจากการสืบค้นของสาวนักช้อปชาวจีน สามารถนำมาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนได้ อาทิ ค่านิยมของการที่จะต้องมีต้นขาและสะโพกที่กระชับ ได้รูป เป็นที่นิยม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อาจจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อกระชับต้นขา และสะโพกขึ้นมาโดยเฉพาะ หรือพฤติกรรมการชอบออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส ซึ่งการวิ่ง/เดินเร็ว และเล่นโยคะ/พิลาทิส เป็นที่นิยม ผู้ประกอบการไทยสามารถนำยางพาราซึ่งเป็นสินค้ามีชื่อเสียงของไทยมาพัฒนาเป็นสินค้าช่วยถนอมสุขภาพสำหรับกีฬาประเภทนี้โดยเฉพาะ อาทิ แผ่นรองเท้าลดแรงกระแทกขณะวิ่ง เสื่อโยคะยางพารา เป็นต้น