นาย ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยมุมมองของ "โควิด กับความมั่นคงทางอาหารโลก"พร้อมทั้ง"ซีพีเตรียมคนอย่างไร พาธงไทยไปทุกทวีป" โดยมองว่าแม้โควิด-19 จะทำให้หลายประเทศต้องหยุดชะงัก หลายประเทศประสบปัญหาต้องปิดโรงงาน ทำให้อาหารขาดแคลนมาก แต่ซีพีมองโลกในแง่ดี โดยมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาระยะสั้น สิ่งที่สำคัญคือการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในกระบวนการผลิตอาหาร เพราะเมื่อปัญหาคลี่คลาย ยุคต่อไปอาหารมีแต่จะเกิน เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยี และมีการผลิตอาหารที่ทันสมัย
ยิ่งประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ การขาดแคลนอาหารคงไม่เกิด แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ สินค้าเกษตรบางตัวล้นตลาด ทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ดังนั้น การบริหารกลไกตลาดจึงมีความสำคัญ และ หากแก้ปัญหาชลประทานได้ด้วย เกษตรกรจะมีตัวเลือกในการเพาะปลูก เลือกพืชราคาสูงเพิ่มมากขึ้น และจะมีรายได้ดีขึ้น แต่ต้องสมดุลกับความต้องการตลาดด้วย
ขณะที่ตลาดต่างประเทศของซีพี ปัจจุบันรายได้ของเครือซีพีกว่า 60% มาจากต่างประเทศ จากการลงทุนกว่า 22 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น จีน ,สหรัฐอเมริกา,ยุโรปอย่างเบลเยียมและโปแลนด์ ,อินเดีย,รัสเซีย,ญี่ปุ่น ,เวียดนาม,ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย โดยขายสินค้าให้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก
"เราเป็นบริษัทที่แข่งขันในเวทีโลกมาหลายสิบปีแล้วและเราเป็นบริษัทของคนไทย ผมภูมิใจเสมอที่เราเป็นบริษัทไทยที่ออกไปแข่งขันในระดับโลกอย่างทัดเทียม ทุกประเทศที่ซีพีไปทำธุรกิจ เราไปพร้อมธงชาติไทยประดับขึ้นบนยอดเสาในทุกโรงงาน ทุกสำนักงาน ในทุกประเทศที่ซีพีไปทำธุรกิจ และมีพระบรมฉายาลักษณ์ที่แสดงถึงการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทำให้บริษัทคนไทยมาได้ถึงทุกวันนี้"
นาย ธนินท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแพร่ระบาดของโควิด - 19 มีผลกับซีพี เพราะซีพีทำธุรกิจเกษตรและอาหาร ทำให้ต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ หากบริหารไม่ดีแล้วปิดโรงงานก็จะกระทบหนัก แต่จนถึงวันนี้ยังถือว่าเตรียมความพร้อมได้ดี ทุกประเทศที่ซีพีไปทำธุรกิจยังดำเนินงานได้ต่อเนื่องไม่ถูกปิดโรงงาน ยกตัวอย่างที่ประเทศจีน ถือว่ากระทบไม่มากและปรับตัวได้ดี ไม่มีการขาดแคลนอาหาร การดูแลพนักงานมีรถรับส่ง มีที่พักในโรงงาน ดูแลเรื่องความปลอดภัยรอบด้าน ทั้งหมดนี้เพราะมีการเรียนรู้และมีกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ
"หลายครั้งที่คนบอกว่า ผลกระทบจากโควิด-19 จะฉุดเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอยครั้งใหญ่ สร้างผลกระทบรุนแรงกว่าต้มยำกุ้ง แต่ผมว่า ต้องมองโลกในแง่ดี ยามฟ้ามืด ต้องคิดถึงเมื่อยามสว่าง ผมมีนโยบายชัดว่า เราจะไม่ปลดคนงานจากปัญหาโควิด -19 ผมเชื่อว่าเป็นแค่อัมพาตชั่วคราว แต่โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังอยู่ รัฐต้องประคองบริษัทรายเล็ก รายน้อยให้อยู่รอดเมื่อพ้นวิกฤตต้องลุกมาวิ่งได้"
นายธนินท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในยามที่ทุกประเทศได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ประเทศไทยต้องคิดว่า จะต้องเตรียมความพร้อม อยู่รอดอย่างเดียวไม่พอ ต้องช่วยปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคหลังโควิด(new normal) ซึ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ถึงแม้ว่าธุรกิจอาหารจะได้รับผลกระทบไม่มาก แต่พฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนไป ทำให้ซีพีในทุกประเทศต้องปรับตัว และต้องรวดเร็ว