นายหิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟ แอนด์ บอย จำกัด ผู้บริหารร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ “อีฟแอนด์บอย” เปิดเผยว่า การระบาดของโควิด-19 ส่งกระทบต่อกำลังซื้อและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้ชะลอตัว ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาดไม่ว่าจะเป็น การโฟกัสไปยังช่องทางออนไลน์ การเพิ่มสินค้าแบรนด์ใหม่ๆจากต่างประเทศ เป็นต้น เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและอารมณ์การจับจ่ายในครึ่งปีหลังให้กลับมาอีกครั้ง เพื่อให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายระยะยาวในปี 2565 ที่จะมีสาขาครบ 22 แห่งตามเป้าหมายที่วางไว้
“ปกติทางร้านมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดและโปรโมชันต่างๆอยู่ตลอดเวลา แต่จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมทางการตลาดได้เลย ทำได้เพียงหันไปโฟกัสในช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่ายอดขายออนไลน์เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างดี แต่ด้วยสัดส่วนที่ยังน้อยอยู่เพียง 5% จึงไม่สามารถทดแทนยอดขายทั้งหมดได้ ดังนั้นแผนการฟื้นคืนตลาดนับจากนี้ จึงจะให้ความสำคัญกับการปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการในรูปแบบต่างๆทั้งการเข้าไปโฟกัสในช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทั้งในส่วนของการขายและการจัดแคมเปญโปรโมชั่นในรูปแบบต่างๆ”
ขณะที่แผนงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ ยังคงเดินหน้าลงทุนมากกว่า 500 ล้านบาทในการขยายสาขาร้านอีฟแอนด์บอยเพิ่มอีก 3 สาขา โดยในช่วงเดือนต้นเดือนมีนาคมผ่านมาได้มีการขยายสาขา สามย่านมิตรทาวน์ และล่าสุดกับการเปิดสาขาสยามพรีเมี่ยม เอาต์เล็ต กรุงเทพ ซึ่งถือเป็นสาขาลำดับที่ 13 บนพื้นที่ 580 ตร.ม. ถือเป็นโมเดลขนาดกลางของทางร้าน เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าชาวไทย 90% และเมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กลับปกติมามองว่าจะสามารถดึงลูกค้าชาวต่างชาติได้ 40% คนไทย 60% ก่อนจะเตรียมเปิดสาขา เดอะมอลล์ งามวงศ์วานในช่วงปลายปีนี้ พร้อมกันนี้ยังได้มีการทยอยรีเวตสาขาเดิมตามคอนเซ็ปต์ใหม่ให้มีความสดใหม่ ทันสมัยตลอดเวลา
“ปกติร้านขายสินค้าในเอาต์เล็ตต่างๆทั่วโลกมักจะไม่ได้เห็นสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ๆวางจำหน่าย แต่ในส่วนของอีฟ แอนด์ บอย สาขาสยาม พรีเมียม เอาต์เล็ต จะมีความพิเศษคือการมีสินค้าจำหน่ายในราเอาต์เล็ตที่ถูกลงจากหน้าร้านปกติ และเป็นสินค้าคอลเลกชันใหม่ สีสันครบ ซึ่งถือเป็นความเอ็กซ์คูลซีพที่บริษัททำให้เฉพาะที่นี้เท่านั้น”
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเปิดตัวแบรนด์สกินแคร์ใหม่นี้เข้ามาทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 20 แบรนด์ โดยช่วงที่ผ่านมาได้มาการเอ็กซ์คูลซีพแบรนด์จากประเทศเกาหลี 2 แบรนด์ในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจุบันสัดส่วนแบรนด์หลักในร้านยังคงเป็นแบรนด์จากอเมริกาและยุโรป 30% ขณะที่ในครึ่งปีหลังบริษัทยังได้เตรียมนำเข้าแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เทรนด์เครื่องสำอางจากประเทศเกาหลีก็เริ่มกลับมาแรงเช่นเดียวกับเครื่องสำอางแบรนด์ไทย
อย่างไรก็ตามสำหรับเป้าหมายยอดขายในสิ้นปีนี้ยังคงต้องรอประเมินสถานการณ์หลังการระบาดของโควิด-19 ผ่านพ้นไปก่อนจึงจะสามารถวางเป้าหมายการเติบโตได้ โดยปีที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตที่ 19% ปีที่แล้ว อีฟแอนด์บอยมียอดขายรวมเติบโตประมาณ 19% ซึ่งตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมายอดขายเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 5 ปีหลังนี้ ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้แยกเป็นกลุ่ม เมกอัพ 48%, สกินแคร์ 35%, น้ำหอม 6%, แฮร์แคร์ 3%, แอ็กเซสซอรี 3%, เพอร์ชันนัลแคร์ 3% และอื่นๆ 2%
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,586 วันที่ 25 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563