J&C ปรับกลยุทธ์ดันรายได้สิ้นปีโตอีก 10%

30 มิ.ย. 2563 | 03:57 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.ค. 2563 | 03:56 น.

J&C ปรับตัว พัฒนาแพลทฟอร์มออนไลน์ e-Payment, e-Wallet ระบบโลจิสติกส์ และส่งเสริมคนให้มีงานทำ Work From Home ใช้บ้านเป็นร้านค้า JC i-Mart ใช้ดิจิทัลในการสร้างรายได้ ผลักดันธุรกิจขับเคลื่อน ตั้งเป้าถึงสิ้นปี สร้างรายได้กลับมาเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%

ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จอยแอนด์คอยน์ฯ (J&C) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสตัวร้าย “Covid-19” ทำให้ธุรกิจขายตรงออฟไลน์ส่วนใหญ่ ยอดขายตกลงเฉลี่ย 50% หรือบางรายมากกว่า 50% ก็มี แต่ในส่วน J&C นับตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกก็สามารถเติบโตขึ้น 10% ขณะที่ไตรมาส 2 ชะงักไป 2 เดือน (เมษายน-พฤษภาคม) จากวิกฤติโควิด-19 อาจส่งผลให้ตกลงมาไม่เกิน 15% เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามยังต้องรอดูไตรมาส 3 ก่อนว่าฟื้นขึ้นมาแค่ไหน ถ้าฟื้นหรือเสมอตัวก็คงติดลบเล็กน้อยแค่ 3-5% ซึ่งจริงๆถ้าไม่มีวิกฤติโควิด-19 ก็เชื่อมั่นว่าปีนี้ธุรกิจ J&C จะเติบโตขึ้นอีก 10%

การเติบโตของธุรกิจ J&C เกิดจากการปรับตัว โดยเฉพาะการมีแพลตฟอร์มที่รองรับการขาย ทั้งระบบ e-Payment, e-Wallet ให้สมาชิกทำธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำคู่ขนานไปกับการมีระบบหลังบ้าน (suppy chain) ที่พร้อมรองรับธุรกิจให้สามารถดำเนินต่อแม้ในสภาพแวดล้อมโรคระบาด และส่งเสริมคนให้มีงานทำ Work From Home ใช้บ้านเป็นร้านค้า JC i-Mart ใช้ดิจิทัลในการสร้างรายได้  

ส่วนกลยุทธ์ที่เลือกใช้ภายใต้วิกฤติ Covid-19 ที่เกิดขึ้นนั้นบางเรื่องก็ขยายก็จะใช้กลยุทธ์การเติบโต เช่น การทำแฟรนไชส์ JC i-Mart ซึ่งยังเติบโตอยู่ แต่บางเรื่องอาจต้องลดอย่างกรณีการทำระบบออฟไลน์การทำสาขาก็ลดจำนวนและตรงไหนไม่ก่อเกิดรายได้ก็ต้องตัดออกหรือย่อขนาดลงมาพร้อมๆกับการไปเพิ่มช่องทางออนไลน์ ช่องทางแฟรนไชส์แทน เป็นต้น 

J&C ปรับกลยุทธ์ดันรายได้สิ้นปีโตอีก 10%

"การสรรหาสินค้าใหม่ๆ คือ สิ่งจำเป็น แต่ไม่ควรลงทุนเยอะเกินไป เพราะถ้ามีสต็อกเยอะแล้วขายไม่หมด นั่นหมายความว่า มองระยะยาวเกินไปในขณะที่ตลาดเป็นตลาดระยะสั้นเนื่องจาก Lifecycle มันสั้นลงทำให้การบริหารความเสี่ยงในเรื่องของสินค้า ช่องทางสินค้าและเป้าหมายลูกค้าอาจเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดเวลา ดังนั้นการทำเรื่อง Product Development กับ Segment Development เป็นสิ่งสำคัญสำหรับ J&C ที่ต้องทำควบคู่กันไป" ดร.สมชายกล่าว  

“เราเน้นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพเป็นหลักมาตลอด ช่วงหลายปีที่ผ่านมาพอมีสถานการณ์แบบนี้ เราก็มีความพร้อมเตรียมไว้อยู่แล้ว และเมื่อตลาดเปิดโอกาสยิ่งขึ้นก็ใช้กลยุทธ์ผสม (Push and Pull Strategy) เป็นหัวใจ ยิ่งในส่วน Push Strategy นั้นเรียกได้ว่าเราทำมาเยอะพอสมควรโดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีในการผลักดันตลาด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาใช้ แชทบอท (Chatbot) การใช้ AI (Artificial intelligence)  การทำ Data analytics ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ดูแนวโน้มเป็นอย่างไรและดูพฤติกรรมผู้บริโภคต้องการอะไร ซึ่งสร้างความได้เปรียบได้เป็นอย่างมาก” 

นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มและแอพพลิเคชั่นให้ตอบโจทย์ในทุกๆด้าน อาทิ การพัฒนาทำโปรแกรม Health Scan สำหรับตรวจสุขภาพให้กับลูกค้า รวมถึงการพัฒนา AI (Artificial intelligence) ทำโปรแกรมวิเคราะห์คนที่เข้ามาในระบบเพื่อทดสอบดูความพร้อมของคนโดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มในการพิจารณาดูว่าแต่ละคนเหมาะเป็นผู้บริโภค หรือเหมาะเป็นนักขาย หรือเหมาะเป็นนักสร้างองค์กร หรือเหมาะเป็นผู้ฝึกสอน หรือเหมาะเป็นผู้นำองค์กร เพื่อใช้ประโยชน์จากการสร้างเครือข่าย ดูความพร้อม ความถนัด ความชำนาญ ความตั้งใจ และสอนให้เก่งขึ้น เป็นต้น 

“ถ้าสถานการณ์โควิด 19 ไม่รุนแรงแล้วและรัฐบาลอนุญาตให้จัดงานได้ในช่วงงานฉลองครบรอบ 18 ปีของ J&C ซึ่งเตรียมจัดในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี ก็คาดว่าจะเปิดตัวแพลตฟอร์มอย่างเป็นทางการ เรียกว่ามีครบทุกอย่างอยู่ในแพลตฟอร์มดังกล่าว ทั้งซื้อขายสินค้า ดูข้อมูลรีวิวสินค้า ดูสาขา แนะนำเส้นทาง เช็คอิน และมีระบบ e-Learning รวมอยู่ด้วย”  

ดร.สมชาย กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ธุรกิจขายตรงตอบโจทย์ได้ดีก็คือในด้านการสร้างงานสร้างอาชีพ แม้บางครั้งสินค้าขายตรงอาจถูกมองราคาแพงกว่าแต่คุณภาพสินค้าก็ดีกว่า ดังนั้นสิ่งที่ขายตรงต้องปรับเพิ่มขึ้นคือทำอย่างไรให้คนเห็นว่าจริงๆแล้วราคาไม่แพง เพราะนอกจากจะมีคุณภาพที่ดีกว่าแล้วยังคุ้มค่ากว่าเมื่อซื้อก็จะได้ประโยชน์ทั้งการใช้สินค้าที่มีคุณภาพคุ้มค่าและผลตอบแทนก็ดี เรียกได้ว่ามีความได้เปรียบในแง่ความเป็นเครือข่ายที่ให้ประโยชน์ได้ทั้งส่วนลดส่วนคืน รวมทั้งเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้ได้ด้วยนั่นเอง