นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)หรือ ทอท. กล่าวว่าปัจจุบันทอท. ยังคงเดินหน้าโครงการพัฒนาสนามบินทั้ง 6 แห่ง เพื่อให้สามารถรองรับการจราจรในอนาคต โดยในส่วนของ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ( ทสภ.) ระยะที่ 2 มีความคืบหน้าในการดำเนินงานก่อสร้าง อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) 88%
ปัจจุบันทอท.ดำเนินงานโครงสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างดำเนินงานสถาปัตยกรรม ตกแต่งภายใน งานภูมิทัศน์ และติดตั้งงานระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระ ไฟฟ้า เครื่องกล สุขาภิบาล และระบบสารสนเทศภายในอาคาร ซึ่งผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ
ทำให้ภาพรวมการทดสอบการเตรียมความพร้อมการเปิดให้บริการ (Operation Readiness and Airport Transfer : ORAT) สำหรับอาคาร SAT-1 ต้องเลื่อนออกไป โดยคาดว่าจะทำการทดสอบระบบการปฏิบัติงานต่างๆ ร่วมกันแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2565 เช่น ระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover : APM) ระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระ ระบบบริหารลานจอดอากาศยาน ระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทอท. คาดว่าเที่ยวบินและผู้โดยสารจะเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจนกลับมามีปริมาณการจราจรเป็นปกติ (ที่ระดับเดิมของปี 2562) ในเดือนตุลาคม 2565 ดังนั้น ทอท. อาจต้องพิจารณาการเปิดใช้อาคาร SAT-1 ให้สอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารต่อไป
สำหรับความคืบหน้า โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)ขณะนี้การก่อสร้างอาคารบริการผู้โดยสาร หรือเรียกว่า Service Hall บริเวณลานจอดรถรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอาคารที่เชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
อาคาร 1 ด้านทิศเหนือ มีพื้นที่ใช้งานประมาณ 3,000 ตารางเมตร สำหรับให้ผู้โดยสารกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ได้ใช้เป็นพื้นที่จัดกระเป๋าเดินทางก่อนขึ้นเครื่องที่จะช่วยลดความแออัดภายในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศได้ โดยคาดว่า จะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนสิงหาคม 2563
รวมถึงโครงการก่อสร้างทางเดินเชื่อมรถไฟฟ้าสายสีแดง ระยะทาง 200 เมตร เชื่อมต่อจากโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต สถานีดอนเมือง เข้าสู่ภายในท่าอากาศยานดอนเมือง บริเวณอาคารจอดรถยนต์ 7 ชั้น คาดว่าดำเนินการเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2563 ก่อนการเปิดให้บริการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ในปี 2564
นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร อาคาร 1 เพื่อรองรับผู้โดยสารภายในประเทศ การก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร อาคาร 3 บริเวณอาคารผู้โดยสารเดิมที่ไม่ได้ใช้งาน เป็นการคืนสภาพขีดความสามารถเดิมของท่าอากาศยานดอนเมืองในการรองรับปริมาณผู้โดยสารได้ไม่น้อยกว่า 40 ล้านคนต่อปี โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2567
ในส่วนของสนามบินภูมิภาคของทอท. อีก 4 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานเชียงใหม่,ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย,ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ยังคงเดินหน้าดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินตามแผนแม่บทการพัฒนาสนามบินเช่นกัน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาคุณภาพการให้บริการ และรักษามาตรฐานความปลอดภัย เพื่อให้สนามบินมีศักยภาพและสามารถรองรับความต้องการการเดินทางที่จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งการขนส่ง การท่องเที่ยว และธุรกิจการบริการของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วได้อีกด้วย
นายนิตินัย ยังกล่าวต่อว่าในปีต่อไปทอท.ยังคงมุ่งเน้นการให้บริการด้วยความสะอาดและปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดี ปลอดโรคของผู้ใช้บริการสนามบินควบคู่กับการดำเนินธุรกิจที่จะช่วยเหลือสังคมผ่านการส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมของประเทศไทย ทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับทอท. แม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ที่การเดินทางทางอากาศยังคงชะลอตัวในอีก 1 – 2 ปีข้างหน้า
ขณะที่การขนส่งสินค้าทางอากาศมีการปรับตัวในอัตราที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น โครงการเกี่ยวกับสินค้าเน่าเสียง่าย (Premium Perishable Lane : PPL) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบและรับรองคุณภาพสินค้าก่อนส่งออก (Certify Hub) จะช่วยให้สินค้าเกษตรของไทยคงคุณภาพและมีมาตรฐานตามหลักสากล และจะช่วยนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยอีกด้วย