นางสาวปพิตชญา สุวรรณดี กรรมการ ผู้จัดการศูนย์การค้าเมกาบางนา บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อตอกย้ำแนวคิด “มีทติ้ง เพลส” ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1. การปรับเปลี่ยนร้านค้า และบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ของลูกค้า , 2. เพิ่มที่จอดรถและปรับปรุงภูมิทัศน์ของศูนย์การค้า เพื่ออำนวยความสะดวกและเสริมประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า และ 3. การจัดแคมเปญการตลาดต่างๆ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย
โดยเริ่มตั้งแต่ การเปลี่ยนห้างโรบินสัน เป็นห้างเซ็นทรัล เมกาบางนา เพื่อยกระดับและสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งใหม่ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานและครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูง โดยห้างเซ็นทรัล มีพื้นที่กว่า 1.3 หมื่นตร.ม. มีสินค้าทั้งแบรนด์ไทย-แบรนด์อินเตอร์ รวมกว่า 1,000 แบรนด์ ซึ่งเปิดให้บริการในเฟสแรกเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา และจะปรับโฉมใหม่แล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2565
นอกจากนี้ยังปรับเปลี่ยนร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการอันหลากหลายเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ซึ่งการปรับเปลี่ยนร้านค้าภายในศูนย์ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญในการยึดครองใจลูกค้า (Top of Mind) เพราะการเลือกร้านค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการและตรงใจลูกค้าจะทำให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ ซึ่งนอกจากห้างเซ็นทรัลแล้ว ยังมีแบรนด์ใหม่เที่เข้ามาเป็นแม็กเน็ต เช่น Dior, YSL เป็นต้น และในไตรมาส 3 จะมีร้านค้าและแบรนด์ใหม่เข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกันบริษัทใช้งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทในการก่อสร้างอาคารจอดรถ 8 ชั้น สามารถจอดรถได้กว่า 2,000 คัน จะแล้วเสร็จและให้บริการได้ในต้นปี 2564 ส่งผลให้เมกาบางนามีที่จอดรถรวมกว่า 1.2 หมื่นคัน นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงภูมิทัศน์ด้านโซนเมกา ฟู้ดวอล์ค ภายใต้คอนเซปต์ Scandinavian Playground สนามเด็กเล่นธรรมชาติขนาดใหญ่ พร้อมสายน้ำ (stream valley) และบ่อทราย (sand dune) เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าครอบครัว ซึ่งขณะนี้ดำเนินการไปแล้วกว่า 50% จะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในเดือนก.ย. นี้
ด้านกลยุทธ์การตลาด บริษัทปรับรูปแบบการทำการตลาดจากรูปแบบไลฟ์สไตล์ อีเว้นต์ที่ดึงคนมาร่วมงานพร้อมกันจำนวนมาก มาเป็นกิจกรรมที่เน้นส่งเสริมการขายให้กับร้านค้า กระตุ้นให้ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านทางช่องทางต่างๆ และมอบสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่าสูงสุดให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นไปตามมาตรการเว้นระยะห่าง หรือ Social Distancing แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้าได้ด้วย
“เชื่อว่าหลังรัฐบาลปลดล็อกธุรกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคักและมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น ดังนั้นเชื่อมั่นว่า การปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและการตลาดของเมกาบางนาในครั้งนี้ จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าปัจจุบันและดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ให้มาใช้บริการเพิ่มเติมในปี 2563 นี้ และจะยังกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งเสริมธุรกิจให้กับผู้เช่าสามารถเติบโตไปพร้อมๆ กับเราอย่างยั่งยืนได้”
นางสาวปพิตชญา กล่าวอีกว่า แม็กเน็ตใหม่ที่เข้ามา ทั้งห้างเซ็นทรัล ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ จะช่วยตอกย้ำและทำให้เมกาบางนา มีความแข็งแรงและยิ่งใหญ่ ซึ่งในปีที่ผ่านมาเมกาบางนามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการกว่า 50 ล้านคน และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เป็นลูกค้าที่มีศักยภาพ และเชื่อว่าจะช่วยต่อยอดและสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการในค้าปลีกย่านกรุงเทพตะวันออกด้วย
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,590 วันที่ 9 - 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563