นางสาววิมลกานต์ โกสุมาส รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยภายหลังร่วมงานสรุปผลยุทธศาสตร์การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผ่านทางกลไกของหน่วยงานให้บริการเพื่อการพัฒนาธุรกิจ (บีดีเอส) ว่า สสว.ได้เตรียมงบประมาณ 80 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาโมเดล บีดีเอส ดังกล่าว เพื่อสร้างผู้ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจกับ “เอสเอ็มอี” (SMEs) โดยเฉพาะกลุ่มไมโครที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากโควิด-19 (Covid-19) และสถานการณ์เศรษฐกิจที่ซบเซา
ทั้งนี้ จะเป็นการให้ใบรับรอง หรือเว้าเชอร์ (Voucher) สำหรับเอสเอ็มอีที่ต้องการจะรับการสนับสนุนในทุกด้าน ทั้งเรื่องฝึกอบรม ปรับโมเดลธุรกิจ การทำมาตรฐานสินค้าหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการดำเนินกิจกรรมด้านการเงิน โดยโมเดลดังกล่าวจะมีลักษณะคล้ายกับโมเดลของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมถึงสิงคโปร์ที่ใช้วิธีนี้เป็นการสนับสนุนเอสเอ็มอีในประเทศ โดยจะรวบรวมผู้ประกอบการ เอกชน สถาบันต่าง ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และพร้อมให้ความรู้กับเอสเอ็มอีเพื่อพัฒนาศักยภาพของธุรกิจเข้ามาร่วมกับโครงการ
สำหรับในเบื้องต้นได้ร่วมมือกันประมาณ 10 แห่ง ครอบคลุมทุกด้านทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวางแผนธุรกิจ ธุรกรรมด้านการเงิน หรือช่องทางการตลาด ให้เอสเอ็มอีที่ต้องการจะเข้าอบรมหรือต้องการคำแนะนำเข้ามาปรึกษาได้ถูกจุด โดยสสว.จะให้เป็นเว้าเชอร์สำหรับช่วยเหลือค่าใช้จ่าย โดยเบื้องต้นมองไว้ที่ประมาณ 50% ของค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมทั้งหมด
อย่างไรก็ดี โมเดลดังกล่าวจะต้องมีการศึกษาข้อมูล วางแผนการดำเนินงาน รวมถึงกำหนดราคาหรือแพคเกจให้เหมาะสมกับประเภทกิจการนั้น ๆ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 จะเริ่มดำเนินการได้ ซึ่งจะเน้นไปที่กลุ่มเอสเอ็มอีที่พอมีศักยภาพและพร้อมที่จะสำรองค่าใช้จ่ายบางส่วนด้วยตัวเองได้ ก่อนที่จะนำไปขยายผลสู่กลุ่มอื่น ๆ โดยมีเป้าหมายทำให้เอสเอ็มอีนั้นเกิดการพัฒนาธุรกิจเฉพาะจุด สามารถลดต้นทุนทางธุรกิจได้จริง และใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการดำเนินงาน ซึ่งปัจจุบันการค้าแบบ O2O หรือ ออนไลน์ ถึง ออนไลน์นั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นางสาววิมลกานต์ กล่าวต่อไปอีกว่า ต้องยอมรับว่ากลุ่มไมโครตอนนี้น่าเป็นห่วง เนื่องจากบางรายนั้นไม่มีการวางแผนในการดำเนินธุรกิจ ไม่มีที่ปรึกษา และไม่รู้ว่าจะต้องปรับตัวไปในทิศทางไหน ซึ่งจากการหารือเบื้องต้นกับเอสเอ็มอีนั้น ส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะปรับปรุงธุรกิจให้ดีขึ้น แต่ยังเข้าไม่ถึงบริการว่าจะต้องไปหาใคร ที่ไหนอย่างไร หรือบางแห่งก็จะมีค่าใช้จ่ายที่แพงในการให้คำปรึกษา ทำให้กลุ่มเอสเอ็มอีไม่มีต้นทุนเพียงพอที่จะมาลงทุนด้านนี้ และยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยโครงการนี้จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างดี