นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สร้างความท้าทายใหม่ๆให้กับทุกธุรกิจ เช่นเดียวกับบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเช่นกัน โดยผลประกอบการปีงบประมาณ 2563 ( ต.ค. 2562 - ก.ย. 2563) บริษัทมีรายได้รวม 11,007 ล้านบาท ลดลง 19.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
มีกำไรสุทธิ 1,066 ล้านบาท ลดลง 13.3 % เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เมื่อเทียบกับกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน บริษัทยังสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างน่าพอใจ และมีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยได้ประกาศจ่ายเงินปันผลที่ 1.45 บาทต่อหุ้นจากผลประกอบการปี 2563
เพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิดที่ยังส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงปรับกลยุทธ์และแผนงานต่างๆ เพื่อเร่งสร้างรายได้ให้กลับมาให้มากที่สุด และในขณะเดียวกันก็ประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ พร้อมควบคุมการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังไม่ดีขึ้นประกอบกับผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ลดลง
“ธุรกิจเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิมีส่วนแบ่งทางการตลาด 48% (ข้อมูล 12 เดือนล่าสุด สิ้นสุด ณ เดือน ก.ย. 2563 จาก บริษัท เดอะนีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด) ครองตำแหน่งผู้นำตลาดชาเขียวพร้อมดื่มอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารมีการปรับแผนให้เหมาะกับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเร่งขยายช่องทางการขายแบบซื้อกลับบ้านและเดลิเวอรี่ที่มีการเติบโตอย่างมาก”
ส่วนแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในอนาคต บริษัท มีการปรับแผนกลยุทธ์ของธุรกิจให้เหมาะสม นำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบรับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และศึกษาโอกาสการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มีอยู่ เพื่อให้ธุรกิจของบริษัทสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
ด้านนางเจษฎากร โคชส์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับการชะลอตัวของตลาดชาพร้อมดื่มภายในประเทศที่ปรับตัวลดลง 9.1% (ข้อมูล 12 เดือนล่าสุด สิ้นสุด ณ เดือน ก.ย. 2563 จาก บริษัท เดอะนีลเส็นคอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด) ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มบ้าง แต่บริษัทยังสามารถประคองสถานการณ์และสร้างผลกำไรที่เติบโตได้ จากการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มชาเขียวที่ดีต่อสุขภาพ
รวมทั้งการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายรูปแบบใหม่ๆ การกระจายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ ได้ครอบคลุมมากขึ้น การบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเดินหน้าขยายตลาดส่งออก โดยเข้าไปเปิดตลาดใหม่ในประเทศเมียนมาร์ ทำกิจกรรมการตลาดในเขตพื้นที่แถบชายแดน ส่งผลให้ยอดขายในเมียนมาร์เติบโตต่อเนื่อง ส่วนในประเทศกัมพูชาและลาวยังคงรักษาตำแหน่งยอดขายอันดับหนึ่งไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจร้านอาหาร กล่าวว่า ในปี 2563 ธุรกิจร้านอาหารมีการปรับแผนธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาต่อยอดสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ ในร้านอาหารญี่ปุ่นโออิชิ พร้อมพัฒนาช่องทางขาย-เดลิเวอรี่ (Delivery) และซื้อกลับบ้าน (Take Away) ที่มีการเติบโตอย่างมาก เช่นเปิดตัวร้านอาหารรูปแบบใหม่ เช่น “โออิชิ ทู โก” (OISHI to Go), “โออิชิ ฟู้ด ทรัค” (OISHI Food Truck)
รวมไปถึงร้านอาหารประเภทไฮบริด : โออิชิ ราเมน X คาคาชิ บริการ 24 ชั่วโมง สาขาแรก ที่ เดอะ สตรีท รัชดา พร้อมทั้งนำเสนอเมนูเพื่อสุขภาพเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่โออิชิ คิทเช่น ซึ่งสามารถสั่งผ่านบริการจัดส่งอาหารโออิชิ เดลิเวอรี่ หรือแอปพลิเคชั่นฟู้ด เดลิเวอรี่ ชั้นนำทั่วไป
นอกจากนี้ ยังต่อยอดสู่ตลาดพรีเมียม เปิดตัวร้านอาหารญี่ปุ่น “ซาคาเอะ” (SAKAE : The Signature Taste of Shabu Shabu and Sukiyaki) ชาบูเมนู a-la-cart ให้บริการในรูปแบบหม้อเดี่ยวส่วนตัว เพื่อสร้างความแตกต่างและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค จับกลุ่มเป้าหมายระดับบนและกลางเป็นหลัก
ขณะที่นางสาวเมขลา เนติโพธิ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทาน ภายใต้ตราสินค้า “โออิชิ อีทโตะ” (OISHI EATO) โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น โออิชิ อีทโตะ แซนวิชผสมธัญพืชไส้อกไก่สลัดไข่ – เวย์โปรตีน พร้อมเร่งขยายช่องทางใหม่ ๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
ตั้งแต่การวางจำหน่ายสินค้าในห้างที่ให้บริการค้าปลีกและค้าส่ง การจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของห้างต่างๆ เช่น Tops online, TESCO Lotus online และเครื่อง Vending Machine อีกทั้งมีการสร้างสรรค์หีบห่อบรรจุภัณฑ์ให้โดดเด่นและแตกต่าง นอกจากนั้นยังพัฒนาสินค้ากลุ่มใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์กลุ่มเดิม เช่น สินค้ากลุ่มซอสและเครื่องปรุงรส
“ส่วนแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในอนาคต บริษัทมีการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์รองรับ New Normal โดยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และศึกษาโอกาสการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มีอยู่ เ และหันมาให้ความสำคัญด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อผลักดันให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคงแข็งแกร่ง“
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โออิชิ เปิด "ซาคาเอะ" ลุยตลาดชาบู-สุกี้ พรีเมียม
ถอดรหัส ‘ไทยเบฟ’ ยืนหนึ่งผู้นำตลาดเครื่องดื่ม-อาหาร