นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ก่อนหน้านี้การบินไทย ได้ยื่นเรื่องต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อขอขายทรัพย์สินใน 3 รายการ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัท เนื่องจากสภาพคล่องที่มีอยู่จะสามารถอยู่ถึงเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งศาลล้มละลายกลางได้อนุมัติให้ตามที่การบินไทยร้องขอ
โดยทั้ง 3 ทรัพย์สิน ประกอบไปด้วย 1.บริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ซึ่งการบินไทยได้ขายหุ้น คิดเป็น 15.53% ให้กับ บมจ.ราชกรุ๊ป คิดเป็นเงิน 2.71 พันล้านบาท 2. การเสนอขายอาคารศูนย์ฝึกอบรมลูกเรือ การบินไทย พร้อมที่ดิน บริเวณหลักสี่ ที่ไม่ได้ใช้งาน เพราะปัจจุบันฐานการบินบริษัทอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และ3.เครื่องยนต์เครื่องบิน 4-5 ชุด
ทั้งนี้การขายทรัพย์สินดังกล่าว คาดว่าจะทำให้การบินไทยมีกระแสเงินสดเข้ามาใช้จ่ายต่อได้อีก 2 เดือน คือในเดือน มิ.ย.-ก.ค.64 จากเดิมที่การขายหุ้น BAFS ทำให้การบินมีเงินเข้ามาอยู่ต่อได้ถึงพ.ค.นี้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์2564 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกเอกสาร เรื่องการขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศของบริษัทจำนวน 1 แห่ง คือ ศูนย์ฝึกอบรมหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยวิธียื่นซองเสนอราคา โดยกำหนดรับเอกสารวันที่ 22-25 ก.พ.64 และวันที่ 1-26 มี.ค.64 กำหนดชี้แจงรายละเอียดข้อกำหนดวันที่ 29 มี.ค.64
โดยกำหนดวันยื่นซองเสนอราคา วันที่ 1 เม.ย.64 เวลา 09.00-16.00 น. ณ ศูนย์บริการงานจัดซื้อ อาคาร 3 ชั้น 1 สำนักงานใหญ่การบินไทย กำหนดยื่นเสนอราคาครั้งสุดท้าย วันที่ 9 เม.ย.64 ประกาศผลการคัดเลือกวันที่ 16 เม.ย.64
สำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ตามประกาศฉบับดังกล่าว เป็นการขยายตามคำสั่งอนุญาตของศาลล้มละลายในคดีฟื้นฟูกิจการของการบินไทย และเป็นการขายภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมาย โดยจะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อผู้ทำแผน/ผู้บริการแผนของบริษัท มีมติอนุมัติการขาย อสังหาริมทรัพย์ตามประกาศฉบับนี้ได้แล้วเท่านั้น
นายชาญศิลป์ ยังกล่าวต่อว่าอีกทั้งในเดือนมีนาคมนี้เตรีมที่จะขอศาลฯ ขายเครื่องบินอีก 30-40 ลำ ในเดือนมีนาคม 2564 และคืนเครื่องเช่าก่อนกำหนดอย่างน้อย 10 ลำ ซึ่งจะทำให้ฝูงบินปรับลดลงเหลือ 50-60 ลำ และอาจจะปรับเพิ่มเป็น 70-80 ลำ ในปี 2567-68 ที่ความต้องการเดินทางเพิ่มขึ้น และยังปรับลดชนิดเครื่องบินลดลงจาก 8 แบบ เหลือ 4 แบบ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย
การจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการว่า มั่นใจว่าวันที่ 2 มีนาคม 2564 การบินไทย จะสามารถยื่นแผนฟื้นฟูกิจการให้ศาลล้มละลายกลางได้แน่นอน ซึ่งภาพรวมเป็นไปด้วยดี โดยมีรายละเอียดการดำเนินการ 5 ด้านดังนี้
1.การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เจ้าหนี้ มีข่าวดีโดยสัปดาห์ก่อนเจ้าหนี้เครื่องบินยอมลดค่าเช่าบางลำลง 30-50% และยอมเก็บค่าเช่าตามชั่วโมงบินจริง ถ้าจอดอยู่จะไม่คิดค่าเช่า โดย 2 ฝ่าย ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง หรือLetter of Intent (LOI) ร่วมกันไว้แล้ว และจะลงนามในข้อตกลงเป็นทางการ ภายหลังยื่นแผนให้ศาล
ขณะที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ที่ปรึกษาทางการเงินรายใหม่กำลังเร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน 7-8 ราย ซึ่งการบินมีแผนจัดจ้างเกียรตินาคินภัทร ไปจนกว่าแผนฟื้นฟูจะผ่านการอนุมัติเท่านั้น
2.การปรับปรุงเส้นทางการบินและฝูงบิน เตรียมยกเลิกเส้นทางที่ขาดทุน และบินเฉพาะเส้นที่มีกำไร เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งยุโรปบางประเทศเช่น ลอนดอน และมีแผนที่จะกลับมาเปิดเที่ยวบินประจำ เส้นทางต่างประเทศครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2564
เส้นทางนำร่องของ การบินไทย เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เป็นต้น และเริ่มบินยุโรปหากมีการฉีดวัคซีนและเปิดให้บินได้ ส่วนสายการบินไทยสมายล์ยืนยันว่าจะไม่ยุบ จะยังคงทำการบินเส้นทางในประเทศและรอบภูมิภาคต่อไป
3.การปรับปรุงองค์กรและหน่วยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบินนั้น จะเร่งจัดตั้งหน่วยธุรกิจย่อย 4 หน่วย คือ ครัวการบิน คาร์โก้ บริการภาคพื้น และซ่อมบำรุงอากาศยาน โดยการบินไทยจะเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และเร่งเจรจาหาผู้ร่วมทุน พิจารณาจาก บริษัทที่เป็นลูกค้าเดิม ,เจ้าของพื้นที่ตั้งธุรกิจ และบริษัทที่มีเทคโนโลยี
โดยเฉพาะศูนย์ซ่อมที่ดอนเมือง ขณะนี้ได้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีช่วยเข้ามาเจรจากับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เจ้าของพื้นที่ เพื่อขอต่อสัญญาเช่า ขอลดค่าเช่าเดิม ซึ่ง ทอท.ระบุว่าจะต้องนำพื้นที่ดังกล่าวออกประมูลในรูปแบบพีพีพี เนื่องจากหมดสัญญาเช่าและการบินไทยได้เปลี่ยนสภาพเป็นบริษัทเอกชนแล้ว
ทั้งนี้หากแผนฟื้นฟูการบินไทยผ่านการอนุมัติ บริษัทจะทยอยจ่ายหนี้ และพร้อมจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับ ทอท. หาก การบินไทย รับซ่อมเครื่องของลูกค้ารายอื่น
ส่วน MRO อู่ตะเภาอาจจะต้องชะลอไปก่อนเพราะใช้เงินลงทุนมาก ขณะที่อุตสาหกรรมการบินอย่างซบเซาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด โดยตั้งเป้าภายใน 5-8 ปี ที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้นอกธุรกิจการบินต่อรายได้ธุรกิจการบิน จาก 10% ต่อ 90% เป็น 50%ต่อ50%
4.การปรับปรุงกลยุทธ์ด้านการพาณิชย์และความสามารถในการหารายได้ การบินไทย ได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ 2 หน่วยคือหน่วยขับเคลื่อนองค์กรและฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร
“หน่วยขับเคลื่อนองค์กรมีแผนจัดทำโครงการ ทั้งในส่วนของลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งหมด 600 โครงการ คาดว่าจะช่วยลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท 3-5 หมื่นล้านบาท ภายใน 5 ปี เช่น โครงการเติมน้ำมันให้เหมาะสมกับการบิน, การขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นในต่างประเทศ, การราคาขายตั๋วผ่านระบบติจิตอลมากขึ้นและทำให้ราคาบัตรมีหลากหลาย ตามความต้องการของลูกค้า เช่น บางคนไม่มีกระเป๋าไม่ต้องซื้อน้ำหนัก บางคนไม่ทานอาหาร บัตรโดยสารจะราคาถูกลง เป็นต้น “
5.การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้กระชับ ลดงานที่ซ้ำซ้อน ปรับจำนวนพนักงานและสิทธิประโยชน์ค่าตอบแทน และสวัสดิการ โดยในช่วงปี 63 บริษัทได้เปิดโครงการการลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือนและค่าตอบแทน หรือ Together We Canจำนวน 2 ครั้ง ,โครงการร่วมใจเสียสละเพื่อองค์กร ,เลิกจ้างพนักงานเอาท์ซอร์ส และมีพนักงานเกษียน ทำให้ปรับลดบุคลากรได้ 9,000 คน เหลือเพียง 2 หมื่นคน
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ได้เปิดโครงการร่วมใจเสียสละเพื่อองค์กร มีเป้าหมายที่จะปรับลดพนักงานลงเหลือ 1.3-1.5 หมื่นคนภายใน ปี 2564-65 และเตรียมเปิดโครงการพิเศษให้ลูกเรือซึ่งปัจจุบันมี 4,900 คน ลาหยุดระยะยาว รับเงินเดือน 20% โดยให้แต่ละคนสลับกันทำงานปีละ3-4 เดือน
ส่วนสายการบินไทยสมายล์นั้นยืนยันว่า จะไม่ยุบแน่นอน เพราะต้นทุนต่ำกว่า การบินไทย ใช้บินในประเทศและภูมิภาคแข่งกับสายการบินโลว์คอส ได้ ส่วนการบินไทยจะบินระหว่างประเทศระยะไกล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
"การบินไทย" เขย่าองค์กรโครงสร้างองค์กรใหม่ ปลดอีก6พันคน
การบินไทย ขายทิ้งหุ้น BAFS 15.53% ได้เงิน 2.7 พันล้านต่อลมหายใจ
การบินไทย ไม่จบยืดแผนฟื้นฟู ประชุมเจ้าหนี้ไม่ได้
คลอดแล้ว“การบินไทย”ออกประกาศ"โครงสร้างองค์กรใหม่"มีผล1พ.ค.นี้
การบินไทย ดิ้นหาเงิน โละเครื่องบิน 42ลำ ขายที่3แปลงหมุนสภาพคล่องปี64