รายงานข่าว(5 มี.ค.2564) ศาสตราจารย์ น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช คณบดี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาผู้เลี้ยงโคนมไทย “โครงการส่งเสริมพัฒนาสุขภาพและผลผลิตโคนม เชื่อมโยงสุขภาพผู้บริโภค” เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตน้ำนมคุณภาพดี ปลอดยาปฏิชีวนะตลอดห่วงโซ่การผลิต พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้แก่เกษตรกร มุ่งเป้าผลิตอาหารนมที่มีคุณภาพส่งต่อผู้บริโภค
รศ.น.สพ.ดร.กิตติศักดิ์ อัจฉริยะขจร หัวหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเลี้ยงโคนมในเขตร้อนชื้น คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำหนดพันธกิจสร้างแพลตฟอร์มสนับสนุนงานวิจัย การเรียนการสอน และบริการวิชาการด้านโคนมและผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีความพร้อมด้านห้องปฏิบัติการวิเคราะห์คุณภาพน้ำนมและอาหารสัตว์ เชื่อมโยงเครือข่ายวิชาการร่วมกับเกษตรกร สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และบริษัทเอกชน ในพื้นที่จังหวัดสระบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง สอดคล้องกับเป้าหมายของ ซีพี-เมจิ ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรไทยให้มีคุณภาพที่ดี ทั้งสององค์กรจึงทำการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการด้านโคนม
ทั้งนี้ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา นำองค์ความรู้ด้านวิชาการ งานวิจัย และนวัตกรรมลงสู่ฟาร์มเกษตรกรในรูปแบบ Dairy Veterinary Community Approach เพื่อสร้างต้นแบบจัดการฟาร์มโคนมแบบแม่นยำสูง เพื่อลดต้นทุนและความสูญเสีย ตลอดจนเน้นความปลอดภัยของอาหาร ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อวงการโคนมอย่างเป็นรูปธรรมบนพื้นฐานข้อมูลวิชาการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและมาตรฐานสากล เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนมที่ยั่งยืนของประเทศไทยและในภูมิภาค
ด้านนางสาวสลิลรัตน์ พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะผู้นำนมพาสเจอไรซ์และโยเกิร์ตเพื่อสุขภาพ บริษัทฯ มีปณิธานในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับผู้บริโภค ตลอดการดำเนินธุรกิจมากว่า 30 ปี นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังเป็นผู้รับซื้อน้ำนมดิบรายใหญ่ที่สุดของประเทศ จึงตระหนักดีถึงความสำคัญในการสร้างความยั่งยืนแก่อุตสาหกรรมนมและเกษตรกรทุกคน ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการสรรสร้างผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของซีพี-เมจิ
ความร่วมมือครั้งนี้เพื่อยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงโคนม แบ่งเบาภาระเกษตรกร ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ด้วยการพัฒนาการจัดการด้านการเลี้ยง ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยวางเป้าหมายในการพัฒนาศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบและเกษตรกรโคนมในเครือข่ายจำนวน 50 ฟาร์ม ภายในปี 2564 และยังร่วมกันตั้งเป้าหมายในการขยายโครงการฯ ไปอีก 150 ฟาร์ม ภายในปี 2566 คาดว่าจะมีประชากรแม่โครีดนมมากกว่า 3,000 ตัว มุ่งเป้าสู่ “การเป็นฟาร์มวัวสุขภาพดี น้ำนมโคยอดเยี่ยม”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
เช็กด่วน “เยียวยาเกษตรกร” ผู้เลี้ยงโคนม
ครม.เคาะ 1.4 พันล้าน “เยียวยาเกษตรกร” ผู้เลี้ยงโคนม สู้วิกฤติโควิด
ซีพีเอฟจับมือ อ.ส.ค. ดัน “เกษตรแม่นยำ”โคนม
พาณิชย์ขนผู้ประกอบการโคนมไทย รุกหนักตลาดจีน-อาเซียน
เร่งพัฒนาศักยภาพโคนมไทย บุกตลาดต่างประเทศด้วย FTA