วราภรณ์ ธรรมจรีย์ กรรมการผู้จัดการ รี้ด เทรดเด็กซ์เปิดเผยว่า รี้ด เอ็กซ์ฮิบิชั่นส์ ได้สำรวจผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในมุมมองส่วนตัวและธุรกิจ รวมถึงมุมมองเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าจากงานแสดงสินค้า ด้วยการศึกษาความเห็นของผู้ชมงานกว่า 41,609 ราย จากงานแสดงสินค้าทั่วโลก 201 งาน ซึ่งรวมถึงผู้ชมงานในประเทศไทย 1,717 รายจาก 9 งาน ผ่านวิธีการสำรวจออนไลน์เป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2563 เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงในแนวคิดของลูกค้าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
มาตรวัดของงานวิจัยมีทั้งสิ้น 4 ปัจจัย ได้แก่ 1.ความรู้สึกส่วนตัวที่มีด้านการเงิน เศรษฐกิจ และธุรกิจ 2.สิ่งท้าทายธุรกิจและทิศทางของอุตสาหกรรม 3.ความรู้สึกเกี่ยวกับงานแสดงสินค้า ความสำคัญและความมั่นใจในการร่วมงาน และ 4.สิ่งที่ต้องการจากงานแสดงสินค้า
งานวิจัยดังกล่าวพบว่า ผู้ร่วมงานชาวไทย 52% มีความกังวลเกี่ยวกับการเดินทางต่างประเทศในระยะไกล 46% กังวลด้านการเดินทางไปต่างประเทศในระยะใกล้ 39% กังวลด้านการร่วมงานกับคนหมู่มากภายในอาคาร และ 26% กังวลด้านการร่วมงานกับคนหมู่มากภายนอกอาคาร คนจำนวนน้อยกังวลด้านการเดินทางภายในประเทศ
คนไทยส่วนใหญ่ที่ร่วมการสำรวจให้ข้อมูลว่า ผลกระทบโควิด-19 มีต่อธุรกิจตนอยู่ในระดับปานกลาง ตามมาด้วยผลกระทบในระดับต่ำและระดับสูงตามลำดับ โดยเมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้ที่ให้ข้อมูลว่า ผลกระทบอยู่ในระดับปานกลางมีจำนวนลดลง และผู้ที่ได้รับผลกระทบในระดับต่ำเพิ่มสูงขึ้น โดยสาเหตุที่สร้างผลกระทบต่อธุรกิจมากที่สุดคือ ยอดขายที่ลดลง ตามด้วยข้อจำกัดในการเดินทางพบลูกค้าและซัพพลายเออร์ การลดค่าใช้จ่ายเนื่องจากความไม่แน่นอน ซัพพลายเชนสะดุด และความยากลำบากในการส่งออก
เมื่อขอให้ให้คะแนนทิศทางความเป็นบวกหรือลบของเศรษฐกิจในระดับ 1 ถึง 10 ส่วนใหญ่ให้คะแนนไปในทิศทางลบในระดับปานกลาง (4) ซึ่งเปลี่ยนแปลงสูงต่ำตามสถานการณ์ในแต่ละเดือนของการสำรวจ แต่ในเดือนธันวาคม 2563 ผู้ที่ให้คะแนนทิศทางเศรษฐกิจในทิศทางบวกในระดับ 7 มีจำนวนสูงขึ้นจากเมื่อเริ่มต้นงานวิจัยที่ 8% เพิ่มเป็น 17% เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น 80% ของคนไทยที่ร่วมงานวิจัยเมื่อเดือนธันวาคม อยากให้มีการจัดการโควิดที่ดีกว่านี้ 79% ให้ความเห็นว่าสภาวะเศรษฐกิจมีความน่ากลัวว่าโรคโควิด ขณะเดียวกัน 73% กล่าวว่าคิดถึงการทำงานในออฟฟิศกับเพื่อนร่วมงานแล้ว และ 62% พบว่า ตนมีความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการทำงานมากกว่าเมื่อก่อนที่จะมีโควิด
งานวิจัยยังพบว่า โควิดทำให้ 84% ของผู้ร่วมงานวิจัยจากทั่วโลกได้ใช้บริการดิจิทัลแล้วอย่างน้อยหนึ่งบริการ โดยในจำนวนนี้ 62% ใช้บริการด้านการประชุมออนไลน์ 41% ในด้านการเรียนออนไลน์ 38% ใช้บริการด้านการสื่อสารผ่านข้อความออนไลน์ และ 32% ในบริการด้านการสั่งอาหารออนไลน์
“ผู้ร่วมวิจัยชาวไทยมากกว่า 50% เป็นผู้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลประเภท Early Adopter คือ เป็นคนแรกๆ ที่จะทดลองใช้เทคโนโลยีก่อนใคร ตามมาด้วย 32% เป็นผู้ที่ต้องการรอให้คนอื่นทดลองใช้ไปก่อนแล้วตนเองจึงค่อยพิจารณาใช้”
การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลนี้รวมถึงการร่วมงานแบบออนไลน์ประเภทต่างๆด้วย อาทิ การสัมมนาออนไลน์หรือ Webinar โดย 94% ของคนทั่วโลกที่ร่วมงานวิจัยเผยว่า ตนได้เข้าร่วมกิจกรรมทางธุรกิจแบบออนไลน์แล้วอย่างน้อยหนึ่งประเภท โดย 51% ได้เคยเข้าร่วมงาน Webinar แล้ว 43% ได้เคยร่วมประชุมแบบออนไลน์แล้ว ขณะที่ผู้ร่วมวิจัยชาวไทย 54% ได้เคยเข้าร่วมงาน Webinar แล้วโดย 9% ได้เข้าร่วมมาแล้วหลายครั้ง
เมื่อถามว่า หากสถานการณ์โควิดจบลง เทคโนโลยีดิจิทัลจะยังคงมีความสำคัญต่อการร่วมงานแสดงสินค้าหรือไม่ 71% ของผู้ร่วมวิจัยชาวไทยเผยว่า เทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียน การเก็บข้อมูล การเสริมประสิทธิภาพในการค้นหาสินค้าและผู้จำหน่าย จะยังคงมีความสำคัญแม้หลังสถานการณ์โควิดจบลง
“งานวิจัยนี้ ทำให้เรามีข้อมูลมาใช้วางแผนการจัดงานในปีที่ผ่านมา เกิดเป็นงานทั้งในรูปแบบ Physical และออนไลน์ โดยงานแสดงสินค้าในรูปแบบ Physical ที่เราสามารถจัดได้ในปีที่ผ่านมาคืองาน เมทัลเล็กซ์ (METALEX) 2020 ซึ่งจัดในรูปแบบ Hybrid คือมีทั้งส่วนที่เป็น Physical และ Virtual Event โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 53,122 ราย มีผู้แสดงสินค้าไทยและผู้แทนในไทยของพาวิลเลี่ยนนานาชาติจาก ญี่ปุ่น ไต้หวัน และ เยอรมนีเข้าร่วม คาดว่า มีเม็ดเงินสะพัดในงานรวมกว่า 3,000 ล้านบาท”
สำหรับปีนี้ รี้ด เทรดเด็กซ์ เตรียมพร้อมจัดงานแบบ Physical ที่ ไบเทค บางนา ทั้งสิ้น 11 งาน โดยจะจัด 8 งานพร้อมกัน ในระหว่างวันที่ 23 – 26 มิถุนายน เป็นมหกรรมเพื่ออุตสาหกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมสนับสนุน ชื่องาน แมนูแฟกเจอริ่ง เอ็กซ์โป (Manufacturing Expo) 2021 ซึ่งประกอบด้วย 5 งานย่อยสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตสาขาต่างๆ ทั้งอินเตอร์พลาส ไทยแลนด์ (InterPlas Thailand) 2021 สำหรับการผลิตพลาสติก, อินเตอร์โมลด์ ไทยแลนด์ (InterMold Thailand) 2021 เพื่อการผลิตแม่พิมพ์และการขึ้นรูป,
ออโตโมทีฟ แมนูแฟกเจอริ่ง (Automotive Manufacturing) 2021 เพื่อการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์, แอสเซมบลี แอนด์ ออโตเมชั่น เทคโนโลยี (Assembly and Automation Technology) 2021 งานแสดงระบบอัตโนมัติ และ เซอร์เฟส แอนด์ โค้ตติ้ง (Surface and Coatings) 2021 แสดงเทคโนโลยีการเคลือบพื้นผิวชิ้นส่วนอุตสาหกรรม
ส่วนอีก 3 งานที่จัดขึ้นพร้อมกันคือ เนปคอน ไทยแลนด์ (NEPCON Thailand) 2021 แสดงเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, งาน แฟ็กเทค (FacTech) 2021 ซึ่งเป็นการเปิดตัวงานใหม่ จัดแสดงเทคโนโลยีการบริหารจัดการโรงงานอุตสาหกรรม และ งาน จีเอฟที (GFT) 2021 แสดงเทคโนโลยีการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
นอกจากนั้น วันที่ 25 – 27 สิงหาคม จะร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ จัดงาน ไทล็อก - โลจิสติกซ์ (TILOG – LOGISTIX) 2021 งานแสดงผู้ให้บริการและเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ ส่วนในวันที่ 2 – 4 พฤศจิกายน เรากำหนดจัดงาน คอสเม็กซ์ (COSMEX) 2021 งานแสดงเทคโนโลยีและผู้ผลิตเครื่องสำอาง และในวันที่ 17 – 20 พฤศจิกายน เรากำหนดจัดงาน เมทัลเล็กซ์ (METALEX) 2021 งานด้านโลหะการอันดับหนึ่งของอาเซียน
“งานวิจัย COVID Customer Mindset and Needs Barometer จะเห็นว่า ชาวไทยส่วนใหญ่มีความมั่นใจในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในระดับปานกลาง ดังนั้นในฐานะผู้จัดงานแสดงสินค้า เราถือเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ร่วมงานว่า มาตรการการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ที่เราเตรียมไว้ให้นั้น จะทำให้เขาเข้าร่วมงานได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยจากโควิด-19 โดยทุกงานที่จะจัดขึ้นได้รับการรับรองเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากโครงการตราสัญลักษณ์มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย หรือ SHA”
นอกจากนั้นรี้ด เทรดเด็กซ์ ยังปรับแผนกลยุทธ์ ขยายบทบาทจากการเป็น Exhibition Organizer สู่การเป็น Community Connector หรือผู้เชื่อมต่อคนในวงการ ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย และเพื่อนในวงการต่างๆ เข้าด้วยกัน ผ่านเครื่องมือทั้งแบบ Physical และ Digital ให้เกิดเป็นกิจกรรมทางธุรกิจที่จะเปิดกว้างให้กับคนในวงการจากทั่วทุกมุมโลกมีโอกาสเข้าร่วม
“เครื่องมือดิจิทัลต่างๆ เป็นการทลายขอบเขตการจัดงานแสดงสินค้าในรูปแบบเดิมที่จัดขึ้นได้เพียงปีละครั้ง โดยการเป็น Community Connector นี้ เราจะต้องตอบสนองต่อความต้องการที่ไม่เหมือนกันของแต่ละวงการ ไม่ว่าจะเป็นวงการอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องสำอาง, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม หรือวงการโลจิสติกส์”วราภรณ์กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: