โควิดรอบ3กระทบหนัก SMEs ชง“บิ๊กตู่”ยืดยื่นภงด.50 อีก 3 เดือน

25 เม.ย. 2564 | 08:10 น.

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีขอยืดการยื่น ภ.ง.ด.50 ออกไปอีก 3 เดือนหวังเสริมสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอีช่วงโควิด-19 ระบาดระลอก 3 พร้อมนำเสนอรื้อโครงสร้างการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอี ลดใช้สินค้าต่างประเทศ 

 

จากโควิดสองรอบแรกที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ทั่วประเทศอย่างรุนแรง ครั้นพอจะฟื้นตัวลืมตาอ้าปากได้ ก็มาเกิดการระบาดในรอบ 3 ที่ยังไม่รู้จะคลี่คลายเมื่อใดนั้น

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สมาพันธ์ฯเตรียมนำเสนอแนวทางการขอยืดระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) กับกรมสรรพากรออกไป 3 เดือน (จากปกติต้องยื่นภายใน 31 พ.ค.) ต่อพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ภายในเดือนเมษายนนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี(SMEs)ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสาม 

แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย

แนวทางดังกล่าวเป็นการหารือร่วมจนได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องต้องกันระหว่าง 5 องค์กร ประกอบด้วย 1. สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย 2.สมาคมสำนักงานบัญชีไทย 3.สมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากรแห่งประเทศไทย 4.สมาคมสำนักงานบัญชีคุณภาพ และ 5.สมาคมสำนักงานบัญชีและกฎหมาย โดยมองว่าจะเป็นการช่วยเหลือในเรื่องของสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอี เพื่อให้มีเงินทุนมาหมุนเวียนใช้ในการประคองธุรกิจในช่วงที่เกิดวิกฤติ โดยมองว่าการยืดระยะเวลายื่น ภ.ง.ด.50 จะช่วยบรรเทาผลกระทบได้ในระดับหนึ่ง 

 

อย่างไรก็ดี ยังจะดำเนินการเรื่องการติดตามผลของมาตรการที่ทางสมาพันธ์ฯ เคยนำเสนอต่อนายกฯไปตั้งแต่โควิด-19 ระบาดรอบแรกถึงรอบสอง เรื่อมาตรการ 2 ลด 2 เพิ่ม รวมถึงการเตรียมนำเสนอมาตรการระยะกลางและระยาว โดยมองว่าถึงเวลาจำเป็นที่จะต้องมีการปรับโครงสร้างการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งจะไม่ใช่เป็นเพียงแต่การเติมเงิน หรือเติมทุนเท่านั้น โดยจะต้องมีการพัฒนาผู้ประกอบการ  สร้างความเชื่อมั่นให้กับเอสเอ็มอีในการทำธุรกิจต่อไปแบบยั่งยืน  ซึ่งจะต้องมีการนำแนวความคิดสร้างสรรค์  การปรับตัวเรื่องเทคโนโลยีให้ผู้ประกอบการรายเล็กมีพื้นที่ในการเจริญเติบโตทางธุรกิจได้ 

“ประเด็นดังกล่าวเหล่านี้  สมาพันธ์มองว่าจะเป็นการช่วยส่งเสริมให้เอสเอ็มอีได้มีโอกาสเติบโต โดยไม่ต้อง การแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่  แต่ต้องการให้สามารถมีโอกาสในการมีส่วนแบ่งรายได้ในการเจริญเติบโตของจีดีพีของประเทศ” 

นอกจากนี้ ภาครัฐควรจะต้องมีมาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพในเรื่องการลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ กับเอสเอ็มอีที่สามารถพัฒนาขีดความสามารถในเรื่องดังกล่าว ควบคู่ไปกับมาตรการส่งเริมการส่งออก ด้วยการยกระดับขีดความสามารถของเอสเอ็มอี ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่บีโอไอจะส่งเสริมนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งอาจจะหันมาส่งเสริมเอสเอ็มอีในการที่จะพัฒนาเครื่องจักรอุปกรณ์ เทคโนโลยีต่างๆ  โดยใช้กลไกล พ.ร.บ. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ซึ่งมีเงินทุนอยู่ 1 หมื่นล้านบาท ในการเติมทุนความรู้  เติมเทคโนโลยี  เครื่องจักรให้เอสเอ็มอีเติบโตในตลาดต่างประเทศได้ด้วยสินค้าและบริการ 

นายแสงชัย กล่าวอีกว่า ภาครัฐต้องใช้กลไกการสื่อสารเชิงรุก เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการต่าง ๆ โดยการมีสายด่วนที่เป็นการให้บริการแบบจุดเดียวที่สามารถส่งต่อให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอี  โดยปัจจุบันเอสเอ็มอียังเข้าถึงมาตรการภาครัฐได้น้อยมาก ดังนั้นควรให้เอสเอ็มอีสามารถมาลงทะเบียน  เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที โดนจัดทำเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือบิ๊กดาต้า  

หน้า 9 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,673 วันที่ 25 - 28 เมษายน พ.ศ. 2564 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :