นางสาวจินตนา พงษ์ภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่นแมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารร้านเดอะ คอฟฟี่ อะคาเดมิคส์ แฟรนไชส์สเปเชียลตี้ คอฟฟี่จากประเทศฮ่องกง เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นโยบายของบริษัทยังเดินหน้าขยายสาขาร้านเดอะ คอฟฟี่ อะคาเดมิคส์ต่อเนื่องหลังเปิดให้บริการมา 2 ปีเศษ และสามารถขยายสาขาแล้ว 4 สาขา ได้แก่หลังสวน เกษรวิลเลจ เซ็นทรัลเวิลด์ และโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์
ล่าสุดบริษัทมีแผนเปิดแฟลกชิพสโตร์แห่งแรก ที่เมกา บางนา บนพื้นที่กว่า 250 ตรม. โดยที่นี่จะให้บริการทั้งสเปชียลตี้ คอฟฟี่ เบเกอรี่ อาหารทุกรูปแบบ และที่นี่จะเป็นสาขาแรกที่มีให้บริการไวน์คอนเนอร์ เวิร์กช็อปกาแฟและเวิร์คช็อปไวน์ด้วย
ทั้งนี้เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ที่พบว่า ปัจจุบันให้ความสำคัญและใส่ใจในการเลือกดื่มกาแฟในรูปแบบสเปเชียลตี้ คอฟฟี่มากขึ้น โดยเดอะ คอฟฟี่ฯ แฟลกชิพสโตร์แห่งนี้ จะเปิดให้บริการได้ในต้นเดือนกันยายนนี้
สำหรับผลกระทบจากวิกฤติโควิดในช่วงที่ผ่านมา พบว่าจำนวนลูกค้ามาใช้บริการลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการ WFH เพราะร้านกาแฟไม่ตอบโจทย์การให้บริการดีลิเวอรี ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคยังนิยมการดื่มที่บ้าน ขณะที่แนวโน้มการสั่งดีลิเวอรีกาแฟพร้อมอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการทำโปรโมชั่นและสร้างการรับรู้เรื่องของกาแฟและอาหารให้มากขึ้น
“จุดเด่นของเดอะ คอฟฟี่ฯ นอกจากเรื่องของกาแฟที่เป็นเกรดพรีเมี่ยมที่มีให้เลือกจากทั่วโลก ยังมีอาหารเพื่อสุขภาพ หรือ health popolicious อาหารสุขภาพที่คงความมีสีสัน อร่อย และตอบรับผู้ที่ต้องการความแตกต่าง ซึ่งเป็นการผสมผสานโลคัสฟู้ดด้วย”
อย่างไรก็ดี ทิศทางธุรกิจสเปเชียลตี้ คอฟฟี่ในเมืองไทยยังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย และมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น เห็นได้จากการมีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้ระดับราคาจะสูงกว่าแบรนด์ทั่วไป ขณะที่อิมแพ็คฯ เอง มุ่งที่จะพัฒนาและรองรับกลุ่มธุรกิจรับจัดเลี้ยง ให้กับองค์กรหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่เข้ามาใช้บริการแสดงสินค้าภายในศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี รวมทั้งการรับจัดเลี้ยงให้กับองค์กรทั่วไปนอกสถานที่ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าได้รับการตอบรับที่ดี และมีการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“ในไตรมาสแรก ได้รับผลกระทบมากพอสมควร เพราะกาแฟไม่เหมาะกับการให้บริการดีลิเวอรี่ แต่พฤติกรรมคนก็เริ่มปรับตัวมีการสั่งกาแฟพร้อมอาหารมากขึ้น อย่างไรก็ดีคาดหวังว่าโควิดระลอก 3 จะจบได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ครึ่งปีหลังกลับมาดีขึ้น”
ขณะที่ภาพรวมของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะทรงตัว จากผลกระทบจากโควิด-19 ระลอก 3 โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากทั้งการรับประทานในร้าน การจัดเลี้ยงและบริการดีลิเวอรีที่มีอยู่ราว 10%
หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,684 วันที่ 3 - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2564
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :